วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ประวัติจังหวัดนครราชสีมา (โคราช)

                ประวัติจังหวัดนครราชสีมาเมืองนครราชสีมา เป็นเมืองโบราณเมืองหนึ่งในอาณาจักรไทยแต่เดิมตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในท้องที่อำเภอสูงเนิน ห่างจากตัวเมืองปัจจุบันประมาณ 31 กิโลเมตร คือ เมือง"โคราช" หรือ "โคราฆะ" กับเมือง "เสมา" ทั้งสองเมืองดังกล่าว เคยเจริญ รุ่งเรืองมาก ในสมัยขอมแต่ปัจจุบันเป็นเมืองร้าง ตั้งอยู่ริมฝั่งลำตะคอง สมัยกรุงศรีอยุธยา ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) โปรดให้สร้างเมืองสำคัญที่อยู่ชายแดน ให้มี ป้อม ปราการ จึงให้ย้ายเมืองที่ ตำบลโคราช อำเภอสูงเนิน มาสร้างเมืองที่มีป้อมปราการและคูน้ำล้อมรอบขึ้นใหม่ ในที่ซึ่งอยู่ ในปัจจุบัน แล้วเอานามเมืองใหม่ทั้งสอง คือเมืองเสมา กับเมืองโคราฆะ มาผูกเป็นนามเมืองใหม่ เรียกว่าเมืองนครราชสีมา แต่คนทั่วไป เรียกว่า เมืองโคราช เมืองนี้กำแพงก่อด้วยอิฐ มีใบเสมาเรียงรายตลอด มีป้อมกำแพงเมือง 15 ป้อม 4 ประตู สร้างด้วยศิลาแลง มีชื่อดังต่อไปนี้

     - ทางทิศเหนือ ชื่อประตูพลแสน นัยหนึ่งเรียก "ประตูน้ำ"
     - ทางทิศใต้ ชื่อประตูชัยณรงค์ นัยหนึ่งเรียก "ประตูผี"
     - ทางทิศตะวันออก ชื่อ "ประตูพลล้าน" นัยหนึ่งเรียกประตูตะวันออก
     - ทางทิศตะวันตก ชื่อ "ประตูชุมพล"

                ประตูเมืองทั้ง 4 แห่งนี้ มีหอรักษาการอยู่ข้างบนทำเป็นรูปเรือน (คฤหาสน์) หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผามีช่อฟ้าใบระกาเหมือนกัน ทุกแห่ง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ทรงจัดการปกครองหัวเมืองทางแผ่นดินสูงตอนริมแม่น้ำโขง เป็นประเทศราช 3 เมือง คือ เมืองเวียงจันทร์ เมืองคมพนม และเมืองนครจำปาศักดิ์ ให้เมือนครราชสีมา ปกครองเมืองกรมการป่าดง และเมืองดอนที่ไม่ขึ้นต่อ ประเทศราช ทั้ง 3 และกำกับตรวจตราเมืองประเทศราชเหล่านั้นด้วย แล้วยกฐานะเมืองนครราชสีมาเป็นเมืองเอก ผู้สำเร็จราชการ มียศเป็นเจ้าพระยา เจ้าพระยาเมืองนครราชสีมาคนแรกชื่อเดิมคือ ปิ่น ณ ราชสีมา และในรัชกาลนี้เมืองนครราชสีมา ได้นำช้าง เผือก 2 เชือก ที่คล้องได้ในเขตอำเภอภูเขียว ซึ่งน้อมเกล้าถวายและได้โปรดเกล้าฯให้ขึ้นระวางเป็นพระอินทร์ไอยรา และพระเทพ กุญชรช้างเผือก เมื่อส่งเข้าเมืองยังคงเก็บรักษาไว้ในศาลเจ้าพ่อช้างเผือกอยู่ริมถนนมิตรภาพ ตรงข้ามโรงเรียนสุรนารีวิทยา ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมืองนครราชสีมา มีความเจริญมากขึ้น เป็นศูนย์กลางค้าขายของหัวเมืองทางตะวันออก เพราะมีสินค้าที่พ่อค้า ต้องการมาก เช่น หนังสัตว์ เขาสัตว์ นอแรด งา ไหม พวกพ่อค้าเดินทางมาซื้อสินค้าเหล่านี้แล้วส่งไปจำหน่ายที่กรุงเทพฯ และนำ สินค้าจากกรุงเทพฯมาจำหน่ายในหัวเมืองตะวันออก โดยตลาดกลางอยู่ที่เมืองนครราชสีมา และในปี พ.ศ. 2434 ( ร.ศ. 1110) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้รวบรวมหัวเมืองในเขตที่ราบสูงเป็น 3 มณฑล คือ
1. มณฑลลาวพวน มีเมืองหนองคาย เป็นที่ว่าการมณฑล
2. เมืองลาวกาว มีเมืองนครจำปาศักดิ์ เป็นที่ว่าการมณฑล
3. เมืองลาวกลาง มีเมืองนครราชสีมา เป็นที่ว่าการมณฑล
 ต่อมาเมื่อได้จัดหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาลทั่วทั้งพระราชอาณาเขตได้เปลี่ยนนามมณฑลทั้ง 3 เสียใหม่ คือมณฑลลาวพวน เป็นมณฑลอุดร มณฑลลาวกาว เป็นมณฑลร้อยเอ็ด มณฑลลาวกลางเป็นมณฑลนครราชสีมา ในสมัยรัชกาลที่ 7 พ.ศ. 2475 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย แล้วได้ยกเลิกการจัดหัวเมืองมณฑล เทศาภิบาล และจัดใหม่เป็นภาคมณฑลนครราชสีมา เป็นภาคที่ 8 มีหัวเมืองอยู่ในความปกครอง จังหวัด คือ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีษะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งที่ว่าการอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา ในปี พ.ศ. 2476 ได้เกิดกบฏบวรเดช โดยมีพลเอกพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้า ทำการยึด เมืองนครราชสีมา เป็นกองบัญชาการ เพื่อรวบรวมกำลังพล ในการที่จะเข้ายึดพระนคร เพื่อบังคับให้คณะรัฐบาลของ พลเอกพระยา พหล พลพยุหเสนา ลาออก ในการก่อกบฏครั้งนี้ ข้าราชการในเมืองนครราชสีมาส่วนหนึ่ง ถูกควบคุมตัวไว้ ส่วนประชาชนถูกหลอกลวงว่าได้เกิดเหตุการณ์ ไม่สงบขึ้นในพระนคร ทหารจึงจำเป็นต้องไประงับเหตุการณ์ ต่อเมื่อได้รับทราบแถลงการณ์ของรัฐบาล จึงเข้าใจว่าการกระทำของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นกบฏ ดังนั้น ข้าราชการที่ถูกคุมขังจึงพยายามหลบหนีเอาตัวรอดไปอยู่เมืองไซ่ง่อน ในวันที่ 25 ตุลาคม 2476 รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระนางเจ้าพระบรมราชินนยารถ ได้เสด็จเยี่ยมพสนิกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งแรก และได้ประทับแรมที่ จังหวัดนครราชสีมา เมื่อ พ.ศ. 2498 และได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมพสกนิกรชาวเมือง นครราชสีมาอีกหลายครั้ง 
 

ปราสาทหินพิมาย

เมืองพิมายและปราสาทหินพิมาย
                เมืองพิมายเป็นเมืองประวัติสาสตร์ที่สำคัญทั้งของภูมิภาคและของประเทศเดิมชื่อ วิมายปุระตั้งอยู่บริเวณตอนต้นของลำน้ำมูล เส้นเลือดใหญ่ของดินแดนอีวานปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอพิมาย  จังหวัดนครราชสีมา ในครั้งอดีต เมืองพิมายตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นศูนย์กลางของการคมนาคมที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือสามารถติดต่อได้กับบ้านเมืองทางตอนเหนือในลำน้ำชี-โขง ถึงประเทศลาว และทางตอนใต้กับอาณาจักขอม ด้วยเหตูนี้เมืองพิมายจึงมีทางเข้าหลักอยู่ทางทิศใต้ซึ่งเชื่อมต่อกับเส้นทางโบราณที่เชื่อมไปสู่ดินแดนขอม
            ต่อมาประมาณพุทธศักราช ๑๓-๑๔ บ้านเมืองบริเวณนี้รับอารยธรรมอินเดียมีการนับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายานเป็นหลัก ดังที่พบร่องรอยของศาสนสถานและพระพุทธรูปในหลาย ๆ ท้องที่ และในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นเวลาที่มีการตืดต่อรับอิทธิพลวัฒนธรรมขอมจากกัมพูชาอย่างใกล้ชิด พิมายได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นเมือง ที่ศูนย์กลางของการปกครองและการคมนาคม มีการสร้างเมืองเป็นแบบขอมที่มี ปราสาทหินพิมาย เป็นพุทธศาสถานสำคัญใจกลางเมืองปราสาทหินนี้มีรูปแบบเฉพาะทางสถาปัตยกรรมซึ่งได้มีการต่อเติมและขยายไปเป็นปราสาทในศิลปะเขมรที่ใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน
            พลเมืองของพิมายประกอบด้วยกลุ่มชนต่าง ๆ ทั้งที่มาแต่ดั้งเดิมและอพยพเคลื่อนย้ายมาตั้งหลักแหล่ง มีทั้งพวก มอญ-เขมร ไท-เสียม ไท-โคราช ลาวและเขมร พัฒนาการของเมืองพีมายสืบเนื่องมาโดยตลอด   เห็นได้ชัดจากชื่อเมืองที่ไม่เคยลืมเลือนจวบจนปัจจุบัน ชื่อของเมืองพิมายมีการกล่าวถึงในพงศาวดารและเอกสารทางประวัติศาสตร์มานับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนกระทั่งถึงกรุงรัตนโกสินทร์โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมืองพิมายคือที่มั่นของกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นการรวบรวมผู้คนเพื่อกู้กรุงศรีอยุธยาจากพม่าจนกระทั่งถูกปราบปรามในสมัยกรุงธนบุรี
                เมืองพิมายมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่สัมพันธ์กับเรื่องพระปาจิตต์-นางอรพิมในปัญญาสชาดก เป็นเรื่องที่มีการถ่ายทอดด้วยการบอกเล่าของคนในท้องถิ่น จนกลายเป็นประวัติศาสตร์และชื่อเสียงของสถานที่ต่างๆ ในบริเวณนั้นและที่ใกล้เคียง เรื่องปาจิตต์-อรพิม นับได้ว่าเป็นนิยายในระบบความเชื่อ ที่ทำให้เมืองพิมายเป็นที่เมืองประวัติศาสตร์ลืองซึ่งยังคงมีชีวิตวิญญาณ ไม่เคยถูกทอดทิ้งไปอย่างเช่นเองโบราณอื่นอีกหลายเมือง ในปี พ.ศ.๒๔๗๘ กรมศิลปกรประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทหินพิมายเป็นโบราณสถานของชาติ และเริ่มบูรณะปราสาทตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๔ และพ.ศ. ๒๔๙๗
                แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๕ กำหนดให้เมืองโบราณพิมายเป็นโครงการอุทยานประวัติศาสตร์ โครงการอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๕ ต่อมาได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทยเมื่อ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๒
                การสร้างปราสาทหินในประเทศไทย
                ในดินแดนภาคอีสานของประเทศไทยรวมทั้งบริเวณพิมายมีวัฒนธรรมเก่าแก่เป็นของตนเองมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์การสร้างปราสาทหินในประเทศไทยส่วนใหญ่จะพบมากในภาคตะวันอกเฉียงเหนือ  เกี่ยงข้องกับศิลปวัฒนธรรมแบบขอมซึ่งได้แพร่และมีอิทธิพลต่อบ้านเมืองในอีสานอย่างมากในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๙ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านศิลปวัฒนธรรมทางความเชื่อ มีการสร้างเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม สร้างแอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่เรียกว่า บาราย ศาสนสถานขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบ ปราสาท ตลอดจนมีการทำเครื่องปั้นดินเผาแบบขอม เป็นต้น
                ปราสาทหินในภาคอีสานก่อสร้างด้วยอิฐ บ้างก่อด้วยศิลาแลง ที่รู้จักกันคือปราสารทหิน เป็นปราสาทสำคัญที่กษัตริย์หรือเจ้าเมืองสร้างขึ้นหรือร่วมสร้าง การสร้างปราสาทไม่ใช่เป็นการสร้างที่อยู่อาศัยแต่ใช้เป็น ศาสนสถาน มักนิยมก่อสร้างเพิ่มเติมต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย ปราสาทหินมักจะทำด้วยหินที่มีพื้นถิ่นมาจากาคตะวันออกเฉียงเหนือเองที่เรียกว่าหินทราย หินทรายที่มีการก่อสร้างปราสาท ๒ ประเภทคือ หินทรายแดงและหินทรายขาวหม่น นอกจากนี้มีการใช้วัสดุอื่นเช่นศิลาแลง ซึ่งนิยมใช้เป็นหินรองพื้นและทองแดงซึ่งสันนิษฐานว่าใช้บุปรอทยอดปราสาทด้วย
                การสร้างปราสาทหินนอกจากจะให้เป็นศาสนสถานและเทวสถานในศาสนาฮินดูแล้ว ยังเกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง ลัทธิการบูชาบุคคล ที่นิยมสร้างประติมากรรมรูปเทพเจ้าหรือพระพุทธรูปให้เป็นตัวแทนของบุคคลผู้สร้างเคารพนั้นได้ไปสถิตรวมอยู่กับเทพเจ้าหลังจากสิ้นชีวิต แล้วสร้างปราสาทให้เป็นที่ประดิษฐานประติมากรรมนั้นๆ นอกจากนี้เครื่องประดับปราสาทเช่น หน้าบัน ทับหลัง ก็จะนิยมสลักภาพเรื่องของเทพเจ้าและเรื่องรามายณะ (รามเกียรติ์) ซึ่งสัมพันธ์กับความเชื่อและการนับถือเทพเจ้าคติศาสนาฮินดู
                ปราสาทหินพิมาย
                ปราสาทหินพิมายเป็นปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธสถานในลัทธิมหายาน สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ กษัตริย์ขอมในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ มีรูปแบบศิลปะขอมแบบบาปวนและนรวัดที่มีความงดงามอย่างยิ่ง ปราสาทหินแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนามหายานประกอบด้วยอาคารสำคัญ ๓ หลังที่อยู่ในบริเวณลานชั้นใน คือ ปรางค์ใหญ่ ปรางค์พรหมทัต และ ปรางค์หินแดง

แผนที่ทั้งหมดของพุทธสถานแห่งนี้มีแปลนเป็นรูปกากบาท โดยการสร้างซุ่มมีคูหาติดต่อกันทั้ง ๔ ทิศ เห็นเป็นรูปกากบาทอย่างชัดเจน
                ปราสาทหินพิมายตังอยู่ตรงศูนย์กลางของเมืองพิมาย ที่ล้อมรอบเมืองด้วยกำแพงสี่เหลี่ยมทำด้วยหินทรายแดง มีประตูเมืองอยู่ทั้ง ๔ ทิศ โดยประตูทิศใต้ที่เรียกว่า ประตูชัย เป็นทางเข้าหลักเพราะรับกับเส้นทางโบราณที่ตัดสู่เมืองพระนครของเขมร นักโบราณคดีพบหลักฐานที่บริเวณด้านนี้มากกว่าประตูด้านอื่นๆ ผ่านประตูชัยเข้ามาก่อนจะไปถึงทางเข้าสู่ปราสาทหินพิมาย ทางทิศตะวันตกมีอาคารอยู่หลังหนึ่งเรียกว่า คลังเงินหรือธรรมศาลา มีผู้พบเหรียญสัมฤทธิ์โบราณทีนี้ ด้านหนึ่งหล่อเป็นรูปครุฑหรือหงส์ อีกด้านหนึ่งเป็นตัวอักษรโบราณ นอกจากนี้มีทับหลังรูปบุคคลกำลังหลั่งน้ำมอบม้าแก่พราหมณ์ แต่จนบัดนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าอาคารนี้ใช้ทำอะไร จากธรรมศาลาสู่ สะพานนาค ที่นำท่านเข้าสู่ปราสาทหินพิมาย สองข้างเชิงบันไดตั้งสิงห์จำหลักเป็นสง่าอยู่ ถัดขึ้นไปเป็นลานหินรูปกากาบาทที่ทำราวเป็นลำตัวนาค สะพานี้มีความหมายเปรียบเสมือนเป็นสะพานที่ทอดสู่เขาพระสุเมรุอันเป็นที่อยู่ของเทพเจ้า จากสะพานนาคผ่านซุ่มประตูสู่บริเวณ พลับพลา ประบริเวณด้านนอกลานพลับพลาตั้งอยู่นี้ ใกล้กับประตูซุ้มกำแพงด้านตะวันตกจะมีซากอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้น สร้างด้วยหิน นักโบราณคดีเรียกว่า บรรณาลัย สันนิษฐานว่าอาจเป็นที่เก็บรักษาตำรับตำราทางศาสนา หรือเป็นที่ประทับสำหรับกษัตริย์เมื่อเสด็จมาประกอบพิธี ต่อจากบริเวณลานชั้นนอกเข้าไปข้างในคือ ระเบียงคด หรือกำแพงชั้นในซึ่งยกฐานสูง เป็นทางเดินมีหลังคาทะลุถึงกันตลอดทั้งสี่ด้าน มีซุ้มประตู ๔ ทิศ ประตูใหญ่อยู่ทางทิศใต้ตรงกับประตูกำแพงชั้นนอกและประตูเมือง
                ถัดจากนี้ไปคือบริเวณลานชั้นในอันเป็นที่ตั้งของปรางค์ทั้งสามองค์ กล่าวคือ ปรางค์ใหญ่ คือองค์ประธานของปราสาทหินพิมาย มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก่อสร้างด้วยศิลาทรายสีขาวล้วน ส่วนสำคัญขององค์ประธานประกอบด้วยส่วนยอดมณฑปที่เชื่อมต่อกับเรือนธาตุทางทิศใต้ (ต่างจากสถาปัตยกรรมขอมแบบอื่นๆ ที่มณฑปอยู่ทางทิศตะวันออก) และทั้งหมดตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ฐานขององค์ปรางค์ประธานสูงสองชั้น เพราะปราสาทหินพิมายอยู่บนพื้นที่ราบ มีใช่อยู่บนเขาจึงต้องยกฐานให้สูง ตามความเชื่อมว่าที่สถิตของเทพเจ้าต้องตั้งอยู่บนที่สูงเช่นบนภูเขา ฐานขององค์ประธานสลักลวดลายต่างๆ เช่นลายประจำยาม และลายกลีบบัวโดยมีส่วนประกอบที่สำคัญขององค์ปรางค์ได้แก่ มณฑป คือส่วนของอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เชื่อมต่อกับเรือนธาตุของปรางค์ประธานทางทิศใต้ มีมุขยื่น ๓ ทางคือ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้ มีบันไดขึ้นด้านข้าง ส่วนทางด้านใต้นั้นไม่มีบันไดขึ้น  เรือนธาตุ คืออาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุม มีมุขประกอบทั้ง ๔ ด้าน ตั้งอยู่เหนือฐานบัวลูกแก้วอกไก่ มีลวดลายประดับผนังภายนอก ภายในเรือนธาตุมีห้องสี่เหลี่ยม เรียกว่า ห้องครรภคฤหะ สำหรับประดิษฐานรูปเคารพซึ่งเชื่อว่าเป็นรูปเคารพที่สำคัญที่สุดของพุทธสถานนี้ มุมห้องด้านทิศตะวันออกมีร่องน้ำมนต์หรือ ท่อ โสมสูตร ใช้สำหรับการกรองน้ำจากการประกอบพิธีกรรมในห้องนี้ต่อออกไปมุมปราสาทข้างนอก ได้กล่าวมาแล้วว่าปราสาทหินพิมายนั้นเป็นพุทธศาสถานแบบมหายาน เพราะมีหลักฐานสำคัญด้านโบราณคดีที่ยืนยันว่าปราสาทหินพิมายเป็นพุทธสถานมหายานคือภาพจำหลักที่ประทับหลัง ๔ ชิ้น ซึ่งอยู่เหนือประตูชั้นในด้านหน้ารอบเรือนธาตุของปรางค์ประธานได้แก่
                ภาพจำหลักด้านทิศใต้ เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก ประทับอยู่ระหว่างกลางพระพุทธรูปทรงเครื่องปางสมาธิ ๕ องค์ ด้านล่างจำหลักเป็นรูปอุบาสกอุบาสิกานำของมาถวาย
                ภาพจำหลักด้านทิศตะวันตก แสดงเรื่องพุทธองค์เทศนาแกพญามารซึ่งเข้าเฝ้าพร้อมบริวารมีขบวนราชยานคานหาม และเครื่องสูงพร้อมทั้งพระพุทธรูปทรงเครื่องประทับยืนระหว่างต้นไม้อยู่แนวบน พนักงานชาวประโคมฟ้อนรำอยู่แนวล่าง
                ภาพจำหลักด้านทิศเหนือ แสดงรูปของพระวัชรสัตว์ ๕ พระองค์ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ประจำองค์พระอาทิพระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนามหายาน มุมบนสุดด้านซ้ายสลักเป็นรูปนางยักษ์หาริติกำลังอุ้มเด็ก ๕ คนอยู่มุมบนสุด้านขวามือ
                ภาพจำหลักทิศตะวันออก แนวบนสลักเป็นรูปพระพุทธรูปทรงเครื่องปางสมาธิ ๑๐ องค์ เทพบุตร เทพธิดากำลังฟ้อนรำอยู่ในแนวล่าง ตรงกลางเป็นรูปจำหลักประติมากรรม ๔ พักตร์ ๘ กร เชื่อกันว่าเป็นรูปพระโพธิ์สัตว์ไตรโลกยวิชัยกำลังทรงฟ้อนรำ
                นอกจากนี้ยังมีภาพจำลองหลักเกี่ยวกับเรื่องราวในคติศาสนาฮินดูและเรื่องราวรามายณะ ตกแต่งหน้าบันและเสาด้านนองของปรางค์ประทานปราสาทหินพิมาย ได้แก่
                ทับหลังทางใต้ มีภาพการสู้รบเรื่องรามเกียรติ์และพุทธประวัติปางมารวิชัยและแม่พระธรณีบีบมวยผมให้น้ำท่วมแก่ทัพมาร
                หน้าบันประตูมุขเรือนทิศตะวันตก แสดงฉากรบพุ่งในเรื่องรามเกียรติ์ตอนพระรามจองถนน
                หน้าบันมุขด้านทิศตะวันตกและทับหลัง สลักภาพพระกฤษณะกำลังยกภูเขาโควรรธนะ พระยาครุฑเหาะมาช่วยพระรามและพระลักษมณ์ที่กำลังถูกศรนาคบาศ
                หน้าบันทิศเหนือ และทับหลัง แสดงการรบพุ่งเรื่องรามเกียรติ์ ทับหลังเป็นรูปพระนารายณ์ ๔ กร ทรงถือจักร สังข์ คทา และดอกบัว
                หน้าบันประตูมุขเรือนธาตุทิศตะวันออก  แสดงตอนเท้ามาลีวราชกำลังฆ่ายักษ์วิราธ เดิมเป็นเทวดาถูกพระอิศวรสาปให้เป็นยักษ์เพราะความเจ้าชู้ จะพ้นคำสาปต่อเมื่อพระนารายณ์หรือพระรามเหยียบให้จมธรณี
หน้าบันมุขมณฑปด้านตะวันออกสลักรูปพระอิศวรและพระอุมาทรงโคนนทิอยู่แถวบน พระนารายณ์ทรงครุฑ พระอินทร์ทรงช้าง   พระพรหมทรงหงส์  ฤๅษี และเทวดาอยู่เบื้องหลัง ส่วนทับหลังมีภาพบุคคลนั่งในเรือ
                ส่วนยอด คือหลังคาพุ่มเหนือเรือนธาตุ ส่วนยอดของปราสารทหินพิมายต่างจากปราสาทเขมรโดยทั่วไป คือมีครุฑแบกทั้ง ๔ ทิศ กลีบขนุนปรางค์สลักเป็นรูปเทพประจำทิศต่างๆ ส่วนบนสุดของปรางค์เป็นรูปดอกบัว หลังคาปราสาทนครวัดในสมัยต่อมา
                ปรางค์พรหมทัต อยู่ทางด้านซ้ายของปราสาทองค์ใหญ่ ปราสาทนี้ก่อสร้างด้วยศิลาแลง พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แห่งอาณาจักรของโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๓ เมื่อครั้งที่ทรงบูรณะปราสาทหินพิมาย
                อาจารย์มานิตย์ วัลลิโภดม ผู้ควบคุมการขุดแต่งปราสาทหินพิมายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้บันทึกไว้ว่าที่นี้เคยเป็นที่ตั้งรูปประติมาหินจำหลัก ๓ รูป เรียกชื่อสืบกันมาว่า รูปท้าวพรหมทัต รูปพระปาจิตต์ และรูปนางอรพิม แต่ได้บรรยายไว้เพียง ๒ รูป คือ
                ประติมากรรมรูปท้าวพรหมทัตนั่งขัดสมาธิราบพระหัตถ์ประนบอยู่เหนือพระอุระ (ปัจจุบันพระหัตถ์หักหายไป) นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสสันนิษฐานว่ารูปนี้เป็นรูปประติมากรรมฉลองพระองค์พระเจ้าวรมันชัยที่ ๗ กษัตริย์ของ เหมือนกับรูปหินจำหลักซึ่งอยู่ในพิพิธภัณฑสถานเมืองพนมเปญ
                ประติมากรรมรูปนางอรพิมนั่งคุกพระราชนุ ปราศจากเศียรและกรทั้งสองข้างปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
            ปรางค์หินแดงอยู่ทางด้านขวาของปรางค์ประธาน สาสนสถานแห่งนี้มีฐานร่มกับหอพราหมณ์ สร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ด้วยเหตุที่ปรางค์องค์นี้ก่อสร้างด้วยหินทรายแดงจึงเรียกว่าปรางค์หินแดง สิ่งที่สำคัญอื่นๆ บริเวณปราสาทหินพิมายที่น่าสนใจคือ
                เสาประกอบพิธีบูชาไฟ เป็นเสาหินรูปสี่เหลี่ยมมีเดือยปักอยู่ข้างบน ตั้งอยู่มุมปราสาทด้านทิศเหนือ สันนิษฐานกันว่าเป็นเสาสำหรับตั้งโคมประกอบพิธีบูชาไฟแบบอินเดีย อาจใช้เพื่อบูชาไฟถวายพระนารายณ์
                พลับพลา อาคารซึ่งสร้างเป็นรูปกากบาทเชื่อมกับระเบียงคดแผนผังของพลับพลาปราสาทหินพิมายนี้ได้รับอิทธิพลทางรูปแบบแก่ปราสาทหินนครวัด และปราสาทหินอื่นๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยหลัง เช่น ปราสาทเมืองสิงห์ ปราสาทตาพรหม ปราสาทพนมรุ่ง
                กุฏิฤๅษี  เชื่อกันว่าเป็นอโรคยาศาสสร้างสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้มีการค้นพบจารึกหลักหนึ่งที่พิมาย เป็นการจารึกอักษรขอมภาษาสันสกฤต ที่กล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอโรคยาศาลขึ้น จเป็นได้ว่าจารึกหลักนี้มาจากบริเวณกุฏิฤๅษี
                สระน้ำ มี ๔ สระ อยู่ ๔ มุมของโบราณสถานนี้ที่บริเวณลานชั้นนอก เดิมเคยมีวัดตั้งอยู่ ทั้งสระและวัดคงจะสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย เมื่อครั้งกรมหมื่นเทพพิพิธมาตั้งตัวที่พิมาย ต่อมาวัดทั้งสี่ได้ย้ายไปนอกปราสาทหิน
            โบสถ์เจ้าพิมาย เดิมตั้งใกล้กับซุ้มประตูตะวันตกกับบริเวณบรรณาลัยสันนิษฐานว่าเป็นอาคารสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันได้ย้ายไปอยู่วัดเดิมทางทิศเหนือของปราสาทหินพิมาย ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูปและตู้พระธรรมลงรักเขียนทอง ศิลปะอยุธยาตอนปลาย
                เมรุพรหมทัต เป็นซากเจดีย์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทหินพิมายสร้างในสมัยที่กรมหมื่นเทพพิพิธได้มาประทับอยู่ที่พิมาย
                อุทยานประวัติศาสตร์พิมายนั้นได้อนุรักษ์ซากปรักหักพังของโบราณสถานโดยการซ่อมแซมให้ดีขึ้น  เพื่อให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม และเพื่อส่งเสริมการศึกษาทางศิลปวัฒนธรรมให้คนยุคปัจจุบันได้เรียนรู้ดูเหมือนว่าการอนุรักษ์ปราสาทหินพิมายจะบรรลุวัตถุประสงค์นั้น แต่อย่างไรก็ดีเรายังต้องการสร้างความผูกพันหวงแหนให้เกดขึ้นในหมู่ประชาชนอีกด้วย เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจหรือรู้ซึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างอิฐ หิน ดิน ทราย ที่ก่อสร้างเป็นโบราณวัตถุสถานกับท้องถิ่นดีนัก พัฒนาการของเมืองพิมายอับประกอบด้วยชุมชนผู้คน และปราสาทหินพิมายควรต้องไปด้วยกัน  และเราคือทายาทที่จะรับมรดกความผูกพันนี้  เพราะนี่คืออดีตของเราด้วย
               

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับการเรียน

         เห็นคนโน่นคนนี้ชอบค่อนแคะเรา เรื่องการเรียน แต่ถ้าเค้าทำแบบเราน่ะ รับรอง ไม่ต้องไปซีเรียสหรอกข้อสอบ เราเน้นเนื้อหาเรียนให้เข้าใจก็พอ ถ้ารู้ว่ามันไม่ได้ เราไม่เข้าใจ ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เราก็ต้องทำใจ แค่นี้มันก็ไม่เครียด มีเวลาไปเล่น ไปทำอะไรอีกเยอะ
ต่อไปจะเผยวิธีการเรียนให้อ่านกัน (จากอานิสงค์ของการมีรูมเมทเป็นแพทย์ และก็เพื่อนเภสัช ก็ลอกเพื่อนแพทย์ เภสัช มาอีกนี้ล่ะ เพิ่งค้นพบตอนปีหนึ่งนี้เอง5555 )
1.เมื่อถึงเวลาเรียน พยายามจดจ่ออยู่กับอาจารย์ พยายามคุยกะเพื่อนให้น้อยที่สุด เพราะเราจะได้เกิดสมาธิและความจำ และพยายามนั่งหน้าให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าเรานั่งหลังเราจะเห็นคนที่อยู่หน้าเรา เวลาเค้าหยุกหยิก เราก็จะคอยสังเกต (เอะ เป็นไร ประมาณเนี้ย) จึงควรไปนั่งหน้า และพยายามจดในสิ่งที่อาจารย์พูด หรือฟังแล้วสรุปลงในสมุด ไปเรียนทุกครั้งควรมีสมุดมาจดทุกครั้ง เพราะการจด มันเป็นร่องรอยของความจำ
2.เมื่อรู้ว่ามีสอบ เช่น กลางภาค อย่างน้อยที่สุดต้องให้เวลาตัวเองประมาณ สองถึงสามอาทิตย์ในการอ่านหนังสือและทำย่อสรุป
3.เมื่อกะเวลาได้แล้ว
4.อ่านหนังสือคร่าวๆ 1 รอบ พอเข้าใจ
5.จากนั้น อ่านแล้วทำสรุป 1 รอบ
6.อ่านแบบเจาะลึกและให้เข้าใจในหนังสือ 1 รอบ
7.จากนั้น ก็ไม่ต้องสนใจหนังสือ เพราะกะเวลาดูแล้วน่าจะเหลือประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนสอบ เราก็อ่านย่อสรุปที่เราทำประมาณ 1-3 รอบ (แล้วแต่ความขยันในเวลานั้น)
8.พยายามคิดพยายามทวน ในหัวเรา เวลาลืมก็จะได้รีบเปิดมาทวนได้ทัน
9.ก่อนสอบ ไม่ควรอ่านอะไรเลย เราต้องปล่อยให้มันเป็นไป ไม่ใช่หน้าห้องสอบอย่างเนี้ย แล้วมาเปิดอ่านอีก มันจะไปตีกันในหัวเรา เวลาสอบสมองเราจะไม่เป็นระบบ การที่มาอ่านหน้าห้องสอบ เอาไว้สำหรับพวกที่ความจำดี ก็น่าจะใช้ได้ แต่อย่างไร ในเมื่อเราเตรียมตัวมาพร้อมแล้วก็ไม่ควรกลัว
10.ถ้าเป็นปลายภาค ถ้าทำได้ขอแนะนำ เตรียมตัว 4 อาทิตย์ก่อนสอบ แต่ถ้าไม่ไหวก็นั้นแหละ 3-2 อาทิตย์ก่อนสอบ
11.เวลาไม่เข้าใจอะไรก็ควรถามเพื่อน มาแลกเปลี่ยนกัน เพราะการอภิปรายกันจะทำให้ทัศนคติ และความคิดของเรากว้างขึ้น บางทีคนหนึ่งเข้าใจบทนี้อีกแนวหนึ่ง คนนั้น ก็เข้าใจบทนี้อีกแนวอีก มันจะก็ให้เกิดความแตกต่างและเราก็จะบูรณาการมาใช้ได้
ทั้งหมดนี้รับรอง ถ้าทำตามได้รับรอง ทำข้อสอบไม่ได้ ก็ไม่รู้จะช่วยไงแล้ว
เมื่อเราพร้อม ทุกอย่างพร้อม ความรู้ สติ ก็จะพร้อม เหมือนนักกีฬาที่หมั่นฝึกซ้อมอยู่เสมอ เวลาแข่งเค้าก็จะทำได้อย่างเต็มที่
ในเมื่อเราพร้อม และมันยังไม่ประสบความสำเร็จ เราก็จะทำใจได้ ว่าเรา ได้ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว ความเครียดหรืออะไรต่างๆนาๆ ก็จะไม่มารบกวนเราอย่างแน่นอน

“กิ๊ก”

กิ๊กไม่ใช่ชู้ ถ้าแฟนรู้ต้องเลิก  อาจเขียนเป็นหลักทางคณิตศาสตร์ได้ว่า  กิ๊ก เป็นสับเซ็ตของชู้       ยูเนียนกับการมีเพศสัมพันธ์เป็นคำจำกัดความหนึ่งของคำว่า กิ๊ก โดยกลุ่มนักวิจัยเล็ก ๆ ของเหล่านิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กำลังศึกษาวิชา การศึกษากับสังคมสรุปไว้   ซึ่งเป็นการเรียนในลักษณะที่เรียกว่า  การเรียนแบบวิจัย  ไม่ใช่การเรียนเพียงแต่ในตำราและในห้องเรียนเท่านั้น ได้มีการให้ผู้เรียนไปศึกษาจากปรากฎการณ์จริงในสังคม และใช้วิธีการวิจัยเบื้องต้นไปศึกษาค้นคว้าเรื่องที่ตนเองสนใจ อันเป็นแนวทางหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยจัดให้มีการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อการคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ภายใต้การควบคุมกำกับดูแลและชี้แนะของอาจารย์ผู้สอนอย่างใกล้ชิด
ความสนใจของนิสิตกลุ่มนี้เริ่มจากคำถามหรือข้อสงสัยว่า พฤติกรรมวัยรุ่นไทยในปัจจุบันเกี่ยวกับเพศตรงข้ามเป็นอย่างไร ? (คำถามในการวิจัย)  เพราะเคยเห็นเพื่อนไปเที่ยว ดูหนัง กินข้าว ช่วยถือกระเป๋า เดินจูงมือกัน  แต่บอกว่าไม่ได้เป็นแฟนกัน  เป็น  กิ๊ก จากข้อสงสัยนี้นำไปสู่การตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้ (แบบสัมภาษณ์) ได้แก่
1. คำจำกัดความของคำว่า กิ๊กคืออะไร
2. ทำไมถึงต้องมี กิ๊ก
3. ชายหรือหญิงมี กิ๊กมากกว่ากัน
4. ข้อดีของการมี กิ๊กคืออะไร
5. ปัญหาของ กิ๊กมีอะไรบ้าง
6. จุดจบของ กิ๊กเป็นอย่างไร
นิสิตกลุ่มดังกล่าวจึงได้ไปทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้คนที่อยู่ในวัย กิ๊กได้แก่ นิสิตนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน โดยใช้เทคนิคการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)  ด้วยการลงภาคสนามและทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (indepth interview) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informant) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ดีและมีความหมายลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องราวของคำว่า กิ๊กนอกจากนั้นยังได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ประกอบด้วย ได้แก่ เอกสาร หนังสือและเว็บไซต์ จนสร้างข้อสรุปพฤติกรรมวัยรุ่นไทยเกี่ยวกับคำว่า กิ๊กได้ดังนี้
1. คำจำกัดความของ กิ๊ก  คือ  ภาวะที่คน 2 คนมีความสนิทสนมกัน  รู้สึกดี ๆ ต่อกัน  ผูกพันและมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งพิเศษมากกว่าเพื่อน แต่ยังไม่ใช่แฟน อาจขยับขึ้นมาเป็นแฟนก็ได้หรือถ้าความสัมพันธ์ไปไม่รอดก็กลับกลายเป็นเพื่อนกันได้  ไม่มีข้อผูกมัดกัน  เป็นอิสระต่อกัน  ต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิม      นอกจากนั้นยังห้ามหึงหวงจนออกนอกหน้า  อาจมีเพศสัมพันธ์กันได้  ซึ่งเดิมนั้นเรียกว่า ชู้ นั่นเอง  แต่    ดูเหมือนเป็นคำที่แรงเกินไป จึงใช้คำว่า กิ๊กสำหรับข้อพิจารณาของการเป็นกิ๊ก  คือ  รูปร่างหน้าตา  นิสัย  ฐานะ การดูแลเอาใจใส่ คำพูด ความคิด ดังนั้นผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาดีย่อมได้เปรียบและได้รับการคัดเลือกก่อน  โดย กิ๊กจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
    1. กิ๊กแบบยังไม่มีแฟน คือ คนที่อาจเป็นแฟนเราในอนาคต หรือคนที่สนิทสนมกันถึงขั้นจะเป็นแฟนแต่มีอะไรบางอย่างที่ยังไม่ใช่หรือไม่แน่ใจ
    2. กิ๊กแบบที่มีแฟนอยู่แล้ว คือ มีแฟนอยู่แล้วแต่มีคนอื่นเพิ่มอีก ซึ่งกิ๊กจะต้องรู้ฐานะของตนเองและเจียมตัวว่าอยู่ตรงไหน ห้ามล้ำเส้น ถ้าแฟนรับได้ก็โอเค แต่ถ้ารับไม่ได้ก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อย่ากระโตก กระตากให้แฟนเขาจับได้เพราะจะซวยทั้งคู่
2. เหตุผลของการมี กิ๊ก คือ การประทับใจในตัวใครบางคนที่บังเอิญเข้ามาถูกเวลาที่เราต้องการใครสักคนหนึ่งในยามที่เราเหงา  ไม่มีใคร  หมดหวัง  ท้อแท้หมดกำลังใจ  เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต  หรือบางครั้งมีแฟนนาน ๆ ไปเกิดความเบื่อหน่าย ทะเลาะกันบ่อย พอมีกิ๊กทำให้มีความรู้สึกดี วูบวาบซ่าบซ่า หรืออาจช่วยแชร์ค่าอาหาร ดูหนัง ไปเที่ยว ซื้อเสื้อผ้าและอาจได้เงินใช้ฟรี ๆ
3. ชายหรือหญิงมี กิ๊กมากกว่ากัน ชายและหญิงมีกิ๊กได้เหมือนกันและพอ ๆ กัน เพราะผู้ชายเจ้าชู้เป็นปกตินิสัยและต้องการการเอาอกเอาใจดูแลอย่างใกล้ชิดจากแฟน ถ้าไม่ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วก็จะหาทางถ่ายเทไปยังผู้อื่น  ส่วนผู้หญิงก็มักจะเป็นฝ่ายไม่ค่อยปฏิเสธใคร มักจะรักพี่เสียดายน้อง ไม่กล้าตัดสินใจเลือกใครสักคนหนึ่งอย่างเด็ดเดี่ยวจึงเป็นไปในลักษณะ อยากเก็บเธอไว้ทุกคนจึงสานสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ อีกทั้งยังมีความอ่อนไหวและมักตกหลุมรักได้ง่ายกับการเอาอกเอาใจของผู้ชาย บวกกับความกล้าและความมั่นใจของผู้หญิงยุคใหม่ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงในสังคมที่ให้หญิงชายเท่าเทียมกัน ผู้ชายทำได้ผู้หญิงก็ทำได้เช่นกัน
4. ข้อดีของการมี กิ๊ก คือ การมีความสุข เพราะความรักทำให้โลกนี้ช่างน่าอยู่และกลายเป็นสีชมพู หวานแหวน ชุ่มชื่นหัวใจ นอกจากนั้นยังเป็นความท้าทาย ได้ลิ้มลองกับการคบคนหลายแบบ หลายรสชาติ ได้ทำอะไรที่แปลกใหม่  ไม่ซ้ำซากจำเจ  แก้เหงา  แก้เซ็ง  แก้เบื่อ  ไม่ต้องอยู่คนเดียว  เปิดโอกาสให้ตนเองได้ศึกษากับคนมากขึ้น ได้เลือกคนที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง เพราะคนเรามีความเห็นแก่ตัวเป็นธรรมดา
5. ปัญหาของ กิ๊ก คือ ถูกมองว่าทำตัวไม่ดี หลายใจ เจ้าชู้ ลดความน่าเชื่อถือของตนเอง โดยเฉพาะคนที่มีแฟนอยู่แล้วต้องทำร้ายจิตใจคนที่เรารัก  บางคนที่มีเพศสัมพันธ์ความรู้สึกก็ต้องมีมากขึ้นเป็นพิเศษ ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่สามารถเป็นห่วงหรือหึงหวงได้เต็มความรู้สึก ต้องคอยเก็บกดความรู้สึกตัวเองภายใต้คำว่า กิ๊กทำให้ต้องอึดอัดทรมานใจ อาจมีการทำร้ายตัวเอง ทำร้ายผู้อื่น ทะเลาะเบาะแว้งหรืออาจถึงขั้นฆ่าตัวตายซึ่งมีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ บางคนอาจกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่เป็นอันเรียนหนังสือ เวลาเรียนไม่พอต้องลงทะเบียนเรียนใหม่แต่ไม่กล้าบอกพ่อแม่ผู้ปกครอง จึงต้องตัดสินใจขายตัวเพื่อเอาเงินมาลงทะเบียนเรียนใหม่ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งเรื่องนักศึกษาขายตัว
6. จุดจบของ กิ๊กมี 2 แบบ คือ แบบดีกับแบบไม่ดี  แบบดีอาจเป็นแฟนกันหรือหากคบกันไปแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ก็เลิกลากันไป  กลับมาเป็นเพื่อนกันได้  ในแบบไม่ดีนั้นส่วนใหญ่จะจบตรงที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง    มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วเลิกคบกับกิ๊ก หรือกิ๊กอาจทำตัวน่าเบื่อหน่ายจึงสลัดทิ้งไป แต่สาเหตุยอดนิยม คือ มีใหม่แล้วลืมเก่าแต่ถ้าเลิกกับแฟนแล้วอาจกลับมามีกิ๊กอีกก็ได้

ข้อตกลงหรือสัญญาของการเป็น กิ๊ก

1. หากเจอกันต้องทักทายด้วยความยินดี แต่ถ้าอยู่ห่างกัน 100 เมตรให้ยิ้มหวาน ๆ ประมาณ 1 นาที และมีท่าทางประกอบ เช่น บ๊ายบาย
2. ห้ามพูดคุยกับคนอื่นเกินหน้าเกินตา ถ้าจับได้จะโดนทำโทษโดยการดึงหูจนกว่าจะแดง
3. โทรศัพท์คุยกันอย่างน้อยอาทิตย์ละ 5 วัน แต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 40 นาที
4. เวลานอนห้ามคิดถึงใครต้องคิดถึงแต่กิ๊ก
5. ไม่มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาจนกว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะยินยอม
6. ให้ถือสัญญาไว้จนกว่าบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายจะมีกิ๊กใหม่

กฎ 10 ข้อของการเป็นกิ๊ก

1. ห้ามหึงหวง แต่ห่วงกันได้
2. มีอะไรกันได้ แต่ไม่ใช่ของกันและกัน
3. ไม่มีสิทธิเรียกร้องเกินเหตุ
4. อาจเปลี่ยนสถานะได้ แต่ถ้าไม่ได้ห้ามเศร้า
5. ห้ามใช้กิ๊กร่วมกันกับเพื่อน
6. ถ้ากิ๊กคิดจะไปมีแฟนเป็นตัวเป็นตน โดยไม่ใช่เรา ห้ามฟูมฟาย แต่ต้องพยายามยอมรับและยินดีด้วย แล้วค่อยตกลงกันอีกทีว่าจะเป็นกิ๊กกันต่อไปหรือไม่
7. ไม่จำเป็นต้อง take care กันเกินเหตุ เพราะเป็นแค่กิ๊ก
8. กิ๊กมีได้ไม่จำกัดจำนวน เป็น infinity ไม่จำกัดเพศ วัย และสถานภาพ ถ้าไม่กลัวตายเพราะเอดส์หรือต้องปีนต้นงิ้ว
9. กิ๊กสำคัญรองจากแฟน
10. กิ๊กยังไงก็เป็นกิ๊กต้องเจียมตัว
อย่างไรก็ตาม หากทัศนคติหรือค่านิยมเกี่ยวกับเพศตรงข้ามของวัยรุ่นไทยเปิดกว้างและอิสระเสรีมากกว่านี้  ตามคอนเซ็ปต์  ทุ่มเท ทิ่มแทง ทำแท้ง ทอดทิ้ง อาจเกิดการพลาดพลั้ง  เปลืองเนื้อเปลืองตัวและเกิดในสิ่งที่ไม่ต้องการได้ เช่น การตั้งท้องก่อนวัยอันสมควร การทำแท้ง การทอดทิ้งเด็ก ดังนั้นจึงอยากให้วัยรุ่นไทยได้ รักนวลสงวนตัวจะดีกว่า….

10 เทคนิคการ ซ่อมคอมพิวเตอร์ ด้วยตัวเอง

บ่อยครั้งที่คอมพิวเตอร์มีปัญหา เช่น อาการจอมืด , ซีดีรอมไม่ทำงาน หรือฮาร์ดิสก์เสีย ถึงแม้ว่าตอน ซื้อมาจะมีการรับประกัน 2 ถีง 3 ปี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้จะไม่ได้ซื้อ คอมพ์ทุก 2-3 ปีตามระยะการ ประกัน ดั้งนั้นการซ่อมจึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่นี้เรามาดูแนวทางการซ่อมคอมพ์พิวเตอร์ด้วยตนเอง

1. บันทึกทุกอย่างเก็บไว้ แม้ว่าการใช้คอมพิวเตอร์ จะทำให้สามารถที่จะทิ้งเอกสารกองโต ออกไปจากโต๊ะทำงาน ได้ก็ตาม แต่ก่อนที่ทิ้งทุกอย่างไป ควรจะทำการหาวิธีในการเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ เผื่อในกรณีที่อาจเกิดปัญหา ในอนาคต ยอมเสียเวลาสักเล็กน้อยกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ซึ่งผู้ผลิตคอมพิวเตอร์บางราย ก็ให้มีการลงทะเบียนกันแบบออนไลด์ แต่อย่าลืมพิมพ์สำเนาออกมาเก็บรวมไว้กับใบเสร็จรับเงิน เก็บใบเสร็จ รับเงินและใบรับประกันทุกอย่างไว้ให้ดี โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่มีการรับประกันแยกต่างหากออกไปไม่รวมกับ ตัวเครื่อง เช่น โมเด็ม , ซีพียู , เมนบอร์ด , จอ และอื่น ๆ

2.ทำการบ้านก่อนเลือกซื้อ ตอนที่ซื้อคอมพิวเตอร์ ควรจะต้องนึกถึงการซ่อมแซมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในการเลือกซื้อก็ต้องคิดอยู่เสมอว่า บางร้านรับซ่อมจะมีการคิดค่าตรวจสอบเครื่องด้วย ไม่ว่าเครื่องจะอยู่ใน ประกันหรือไม่ก็ตาม ก่อนซื้อคงจะต้องทำการบ้านกันให้ดีในเรื่องของประกันที่บริษัทมีให้ ไม่ว่าจะในเรื่องประกัน การขยายระยะประกัน หรือว่าค่าธรรมเนียมต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณประหยัดทั้งเงินและเวลาได้ในอนาคต

3.จดบันทึกอาการเสีย เมื่อคอมพ์พิวเตอร์มีอาการผิดปกติขึ้น ให้จดบันทึกอาการต่างไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Error Messages ต่างๆ ซึ่งจะมีประโยชน์และจะมีส่วนช่วยช่าง หรือผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สาเหตุเสียได้มาก ให้จดบันทึกอาการที่เกิดขึ้นให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ช่างจะได้ซ่อมได้เร็วและตรงจุด โดยทั่วไปแล้ว คำถามที่ช่างหรือคนที่จะช่วยเหลือคุณมักจะถามเช่น จอภาพแสดงอาการอย่างไร หรือ Error massage ที่เกิดขึ้นคืออะไร เป็นต้น ถ้าคุณสามารถที่จะตอบคำถามเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อช่าง และคุณเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณปรึกษากับช่างผ่านทางโทรศัพท์ แลัก่อนที่จะตัดสินใจเลือกร้านซ่อมก็ให้ตรวจระยะเวลา ประกันของคอมพิวเตอร์และบรรดาอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ ให้ดี

4.สำรวจให้ทั่ว ๆ การนำเครื่อคอมพิวเตอร์ไปซ่อมกับบริษัทที่คุณซื้อมาก็ไม่ใช้ว่าจะเป็นวิธีที่ดีเสมอไป เพราะบางครั้งถ้าศึกษาให้ดี ๆ อาจพบว่า ซ่อมกับบริษัทอาจทำให้คุณต้องเสียทั้งเงินและเวลา มากกว่าที่ตวรเป็นก็ได้ วิธีที่น่าจะดีกว่า ก็คือลองสำรวจร้านอื่น ๆ ดูไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กหรือใหญ่ ตรวจสอบข้อมูลเรื่องเวลาและราคาในการซ่อมเช่น ค่าตรวจเครื่อง ค่าแรง หรือค่าซ่อมนอกสถานที่ (ในกรณีที่ต้องการให้ช่างมาซ่อมที่บ้าน) เป็นต้น ร้านเล็ก ๆ บางครั้งให้ความสำคัญเป็นกันเองกับลูกค้ามากกว่า ร้านใหญ่ ๆ เนื่องจากมีความต้องการอยู่รอดในการแข่งขันกับร้านใหญ่ ๆ ในขณะเดินสำรวจร้านต่าง ๆ อยู่ให้ลองสังเกคร้านที่ติดโลโก้ยี่ห้อดังเช่น ไอบีเอ็ม , คอมแพค , เป็นต้น ซึ่งมันอาจเป็นไปได้ว่า ร้านนั้น ๆ รับซ่อมเครื่องที่อยู่ในประกันของยี่ห้อนั้น ๆ แต่อย่างไรก็ตามร้านที่รับซ่อมคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะรับซ่อม เครื่องทุกยี่ห้ออยู่แล้ว

5.ค้นหาบริการทางโทรศัพท์ บางกรณีอาจเป็นการไม่สะดวกที่จะเดินทางไปซ่อมที่ร้านโดยตรง การไปโทรศัพท์ไปปรึกษาจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เมื่อคุณเริ่มโทรศัพท์หาร้านซ่อม ให้ลองสังเกตพฤติกรรมต่าง ๆ ที่คุณได้รับทางโทรศัพท์ เช่นต้องรอสายนานเท่าไร เต็มใจช่วยเหลือหรือไม่ แค่นี้ก็เป็นการช่วยตัดสินใจได้ว่า ควรซ่อมกับร้านนั้นหรือไม่ แล้วอย่าลืมจดชื่อรุ่นหรือ Serial Number ของคอมพิวเตอร์ไว้เพื่อความสะดวก
หรือจะโทรไปรายการ 94 FM ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14:00-15:00 ที่นี้รับตอบปัญหาทุกเรื่องดีมากเลย

6.ค่าธรรมเนียม เมื่อยกเครื่องคอมพิวเตอร์ไปซ่อมเป็นธรรมดาที่ช่างจะสำรวจดูว่ามีอะไรบ้างที่ต้องซ่อม ตั้งแต่สายไฟยันฮาร์ดดิส ซึ่งร้านจำเป็นจะต้องคิดค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบนี้ แต่ก็มีบางร้านเหมือนกัน ที่ไม่คิด แต่ถ้าคุณพอมีความรู้เรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง ก็อาจทดลองใช้โปรแกรม Norton Utility ตรวจสอบเครื่องของคุณก่อน บางที่อาจทำให้คุณไม่ต้องเสียเงินก็ได้ หรือบางที่คุณอาจโทรมาเรียกช่างมาซ่อม ที่บ้านก็ได้ แต่คุณจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้น

7.คิดในแง่ร้ายไว้ก่อน หลังจากที่เครื่องของคุณได้รับการตรวจสอบอาการจากหลาย ๆ ร้านซ่อมแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนในการตัดสินใจว่า จะซ่อมหรือไม่ซ่อมในร้านใดจึงจะดี ซึ่งบางครั้งร้านซ่อมอาจจะบอกว่าเครื่อง ไม่อยู่ในประกันแล้วหรืออะไหล่ชิ้นที่ต้องการไม่มีอีกต่อไปแล้ว ข่าวร้ายเหล่านี้เป็นแคเพียงขั้นเริ่มต้นใน การซ่อมคอมพิวเตอร์ของคุณ บางที่คุณอาจลองสอบถามร้านดูว่าสามารถจะเอาอะไหล่เก่าไปแลกอะไหล่ใหม่ ได้หรือไม่ ในกรณีอะไหล่ชิ้นเก่าเลิกผลิตไปแล้ว โดยอาจต้องเพิ่มเงินเล็กน้อย

8.เตรียมเครื่องให้พร้อมก่อนนำไปซ่อม ก่อนที่จะทิ้งเครื่องเอาไว้ที่ร้านเพื่อทำการซ่อมลองตรวจสอบว่าคุณได้ แบ็กอัพข้อมูลที่สำคัญเอาไว้ , จด Serial number ของฮาร์ดิสก์ , ซีดีรอม , โมเด็ม และอื่น ๆ ไว้เพื่อตรวจสอบกับอุปกรณ์ที่นำมาเปลี่ยน ลบข้อมูลส่วนตัวออกให้หมดเช่น อินเตอร์เน็ทพาสเวิร์ด เพื่อป้องกันถูกลักลอบนำไปใช้

9..ขอเอกสารการซ่อมจากร้าน ก่อนที่จะทิ้งเครื่องเอาไว้ที่ร้านอย่าลืมขอเอกสารที่บอกถึงชิ้นส่วนที่จะเปลี่ยน และระยะเวลาในการซ่อม ตรวจสอบเอกสารให้ละเอียดเพื่อป้องกันค่าใช้จ่านแอแฝง แล้วอย่าลืมถามถึงการ รับประกันหลังการซ่อม

10.ติดตามความคืบหน้า สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำคือคอยโทรไปถามว่าการซ่อมไปถึงไหน เปลี่ยนอะไรบ้าง เสร็จทันกำหนดหรือไม่ และเมื่อไปรับเครื่อง ให้ทดสอบดูก่อนว่าเครื่องทำงานปกติหรือไม่ ก่อนนำเครื่องกลับ

โคนัน ภาคจบ

โคนัน ภาคจบ ตอน 1

หลังจากที่โคนัน (หรือจริง ๆ แล้วชินอิจินั่นแหละ) เข้าไปอาศัยอยู่ที่สำนักงานนักสืบโมริเป็นเวลานานหลายเดือน ในที่สุดวันนี้ วันที่เขารอคอยก็มาถึง
โมริ โคโกโร่ ได้รับแจ้งให้ไปสืบคดีฆาตกรรมคดีหนึ่งที่โรงแรมควีนกลางกรุงโตเกียว คดีฆาตกรรมปิดฉากลงเรียบร้อยด้วยฝีมือการคลี่คลายของโคนัน (ถึงแม้ความดีความชอบจะตกเป็นของโคโกโร่ก็เถอะ) แต่โคนันสืบได้ว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับพวกชายชุดดำ เขาเจอสมุดบันทึกเล่มนึงของผู้ตาย และเขาก็เก็บเอามาแล้วด้วย เขาแอบมันไว้ในเสื้อ หลังคดีปิดลงก็มืดพอดี โคนัน รัน โคโกโร่เดินกลับบ้าน ระหว่างทาง
พี่รันฮะ คุณลุง ผมจะไปค้างบ้านดร.นะฮะ ตอนกลางวันดร.โทรมาบอกว่ามีของเล่นชิ้นใหม่จะให้เล่น ผมไปนะฮะพูดจบโคนันก็วิ่งออกไปทันที ทิ้งให้อีกสองคนมองตามอย่างครุ่นคิด
นึกว่ามันจะไม่ใช่เด็กธรรมดาซะอีก เฮ้อ สงสัยคิดมากไปโคโกโร่คิด
ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนตอนนั้นเลยรันคิดทันใดก็มีน้ำตาเอ่ออยู่ที่ตา

โคนันวิ่งมาจนถึงหัวมุมหนึ่ง เขาไม่ได้ไปบ้านดร.อากาสะ เขาหยุดอยู่ที่หัวมุมนั้น หยิบเอาบันทึกของผู้ตายขึ้นมา เปิดไปที่หน้าที่เขาคั้นเอาไว้ มันเป็นบันทึกของปีที่แล้ว

วันที่ 19 เดือน 9 ช่วงนี้มีคนสะกดรอยตาม พวกมันอยากได้อะไรกันนะ หรือว่าพวกมันต้องการชีวิตฉัน ไม่นะ ฉันยังไม่อยากตาย

วันที่ 21 เดือน 9 เมื่อไหร่พวกมันจะเลิกสะกดรอยตามซะทีนะ พวกมันต้องการอะไรกันแน่

วันที่ 30 เดือน 9 และแล้วความอดทนของฉันก็สิ้นสุดลง วันนี้เองที่ฉันต้อนพวกมันออกมาได้ฉันขู่มันว่าถ้าไม่ออกมาฉันจะแจ้งความ พวกมันออกมา พระเจ้า มันแต่งชุดดำทั้งชุด แม้แต่แววตาของพวกมันยังส่อให้เห็นถึงแววตาโหดเหี้ยมแววตาของปีศาจ หัวหน้าของมันยิ่งหน้ากลัวใหญ่ ผมยาวของมันยิ่งทำให้เค้าหน้ามันดูโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น มันบอกฉันว่ามันมีธุระกับฉัน มันจะติดต่อกับฉันอีกที

คงจะเป็นยีน ครั้งนี้พวกแกพลาดครั้งใหญ่เลยนะ ปล่อยให้เหยื่อทิ้งหลักฐานชิ้นโตเอาไว้แบบนี้น่ะโคนันพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยแล้วอ่านบันทึกเล่มนั้นต่อ

วันที่ 3 เดือน 10 หลังจากรอพวกมันให้ติดต่อมาอยู่หลายวัน หลังจากที่ฉันต้องอยู่ในอาการหวาดผวามาตลอด วันนี้หลังกลับจากไปกินเลี้ยงฉันเจอกระดาษแผ่นนึงวางอยู่บนโต๊ะทำงานของฉัน พระเจ้า ฉันอยากจะร้องไห้เหลือเกิน กระดาษแผ่นนั้นเขียนด้วยลายมือเลือด มันน่ากลัวเหลือเกิน แล้วฉันก็ต้องตกใจหนักเข้าไปอีก พวกมันรู้ มันรู้อดีตของฉัน พระเจ้า มันขู่ให้ฉันร่วมมือกับมัน ไม่งั้นมันจะบอกตำรวจ ฉันจะทำยังไง คงต้องร่วมมือกับพวกมันกระมัง

บ้าจริง อดีตอะไรกันนะ นายนานาตะมีอดีตอะไรกันแน่นะโคนันเริ่มหงุดหงิดแล้วจึงอ่านต่อ

วันที่ 5 เดือน 10 ฉันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วฉันจะร่วมมือกับพวกมัน
วันที่ 7 เดือน 10 พวกมันติดต่อมาแล้ว พวกมันบอกให้ฉันไปหาที่โรงแรมควีน วันพรุ่งนี้

วันที่ 8 เดือน 10 พวกมันบอกให้ทำจริง ๆ ทำในสิ่งที่ฉันเลิกทำมานับสิบปี

วันที่ 10 เดือน 10 ฉันกำลังเริ่มทำ ทำงานให้พวกมัน คิดดูแล้วก็คุ้มเหลือเกิน ทำงานแค่ชิ้นเดียวแต่ได้เงินเยอะเป็นบ้า

งานอะไรนะ ทำอะไรกันแน่ นายนานาตะคนนี้มีอดีตอะไรกันนะ มันต้องเป็นอดีตที่ผิดกฎหมายแน่ ๆ ไม่งั้นคงไม่กลัวตำรวจโคนันชักโมโห แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหยิบโทรศัพท์รูปต่างหูออกมาแล้วโทรไปหาดร.อากาสะ
ดร.ช่วยสืบหาข้อมูลของคนที่ชื่อ นานาตะ ซามากิ ให้ผมหน่อยนะครับพูดจบก็วางหูทันที

นานาตะ ซามากิคนอีกฝั่งทวนชื่อนี้ช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด
ใครโทรมาเหรอ หนูไอความจริงแล้วคนรับโทรศัพท์คือ ไฮบาระ ไอ!!!
ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เค้าโทรผิดน่ะค่ะ หนูขอตัวขึ้นข้างบนก่อนนะค่ะระหว่างเดินขึ้นบันไดก็คิดอะไรไปมากมาย
เกิดอะไรขึ้น ทำไมหมอนั่นถึงต้องการข้อมูลของนานาตะ หรือว่า…’ คิดได้แค่นั้นก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา

บ้าจริง ฝนตกโคนันพูดอย่างหงุดหงิดเต็มที เขาวิ่งมาหาที่หลบฝน วิ่งมาจนถึงร้านกาแฟแห่งนึง เขาจึงเดินเข้าไปข้างใน นั่งลงที่โต๊ะนึง แล้วอ่านบันทึกต่อ

วันที่ 16 เดือน 10 และแล้วฉันก็หาส่วนประกอบที่ต้องการทั้งหมดได้ครบแล้ว เอาล่ะ ฉันจะเริ่มทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างซะทีล่ะนะ

ลูกพี่ วันนี้สะใจจริง ๆ เลยนะเสียงใครสักคนที่นั่งอยู่หลังโคนันดังขึ้น
พูดเสียงดังอย่างงี้ แย่จริง เสียสมาธิหมดโคนันคิด
พูดเบา ๆ ซิวะ อยากให้ใครเค้าได้ยินรึไงเสียงนี้ทำให้โคนันถึงกับสะดุ้ง
ว็อดก้านี่นาโคนันพูดกับตัวเองเบา ๆ
ฮะฮ้า มาให้ดมกลิ่นถึงที่เลยนะ คงไม่ปฏิเสธล่ะโคนันพูดเบา ๆ แล้วแอบฟังพวกคนชุดดำคุยกัน
แต่ทำไมวันนี้เราไม่ใช้ยานั่นล่ะพี่อีกเสียงดังขึ้น
ลูกพี่ใหญ่สั่งห้ามใช้คงหมายถึงยีนนั่นเอง
โคนันนั่งฟังชายชุดดำคุยกันอย่างสนใจ เขาเก็บสมุดบันทึกเอาไว้ในเสื้อตามเดิม สั่งโกโก้ร้อนมากินไปด้วยเพื่อไม่ให้ใครสงสัย แต่เค้าไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีใครคนนึงกำลังแอบมองเขาอยู่เหมือนกัน
เหยื่อติดเบ็ดแล้วซินะคน ๆ นั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
ว่าไงนะ ได้ ได้ จะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้ล่ะเสียงว็อดก้าคุยโทรศัพท์ โคนันรีบจ่ายเงินทันที
ว็อดก้ากับลูกน้องกำลังออกไปแล้ว โคนันรีบตามทันที เค้าเอาเครื่องดักฟังรูปกระดุมติดไปที่ลูกน้องของว็อดก้าอย่างยากลำบาก แต่ก็สำเร็จ ข้างนอกฝนหยุดตกแล้ว

เอาล่ะ เดี๋ยวค่อยตามเขาพูดกับตัวเองเบา ๆ โดยไม่รู้เลยว่ามีใครกำลังตามเขามาอย่างเงียบ ๆ
ทำไมดร.ไม่โทรกลับมาซะทีนะโคนันพูดกับตัวเองอีกครั้งในขณะที่เดินอยู่ ตอนนี้เขากำลังสะกดรอยตามพวกชายชุดดำอยู่
เอ๋ พวกมันจะไปไหนกันนะ ทำไมสัญญาณมันเคลื่อนที่เร็วอย่างงี้ล่ะ คงจะไปรถซินะ เอาล่ะ ยืมหน่อยนะพูดกับตัวเองแต่ก็คว้ารถจักรยานเด็กที่จอดอยู่ใกล้ ๆ ไป
ชิเสียงดังขึ้นจากริมฝีปากของใครคนหนึ่งที่สะกดรอยตามโคนันมา มันรีบเดินไปคว้ารถจักรยานอีกคันที่เป็นของผู้ใหญ่ตามโคนันไป
หรือว่ามันจะรู้ตัวแล้วใครคนนั้นเหมือนจะพึมพำกับตัวเองซะมากกว่า
ไม่หรอกน่า ไม่มีทางหรอกมันพูดอีกครั้ง

อ้าว จะไปไหนน่ะเสียงของโคโกโร่ดังขึ้น
หนูรู้สึกใจไม่ดีน่ะค่ะพ่อ จะไปดูโคนันที่บ้านดร.ซะหน่อยรันตอบ
นั่นซินะ วันนี้พ่อเองก็ใจไม่ดีเหมือนกัน รู้สึกเป็นห่วงเจ้าเปี๊ยกนั่นตะหงิด ๆ ไปดูมันซะหน่อยก็ดี ไปเถอะโคโกโร่ว่า

โคนันสะกดรอยตามพวกว็อดก้ามาจนถึงโรงงานแห่งหนึ่ง โรงงานที่น่ากลัวเหลือเกิน โรงงานที่ให้บรรยากาศเหมือนโรงฆ่าสัตว์ โรงงานที่ทำให้คนมองอยากจะเบือนหน้าหนี
นี่คงเป็นรังของพวกมันโคนันพึมพำเบา ๆ เขาเอารถจักยานไปแอบไว้หลังพุ่มไม้ แล้วค่อย ๆ ย่องเข้าไปในโรงงานแห่งนั้น เกิดรอยยิ้มเ***้ยมขึ้นที่หน้าของใครอีกคนที่ตามโคนันมา
ได้เวลาแล้วซินะ คุโด้ ชินอิจิใครคนนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงของซาตาน

อ้าว พี่รัน จะไปไหนค่ะมีเสียงทักขึ้นข้างหลัง รันจึงหันไปดู
อ้าว อายูมิ พี่จะไปบ้านดร.น่ะจ้ะ เอ๋ อายูมิไม่ได้อยู่ที่นั่นหรอกเหรอรันพูดทำหน้าครุ่นคิด
เปล่านี่ค่ะ ทำไมเหรอค่ะอายูมิจังถาม
โคนันบอกพี่ว่าดร.ทำของเล่นชิ้นใหม่ได้น่ะจ้ะ
แย่จัง ไม่เห็นมีใครบอกอายูมิเลยนี่ค่ะ คอยดูนะพรุ่งนี้อายูมิจะโวยวายให้ดูพูดพลางทำหน้าจริงจังไปด้วย
อายูมิจัง กลับบ้านเถอะลูกแม่ของอายูมิมาตาม
ค่ะ ไปนะค่ะพี่รันอายูมิโบกมือให้รัน รันได้แต่ยืนมองด้วยแววตาเศร้า ๆ เท่านั้น ในใจเธอเป็นห่วงโคนันเหลือเกิน
ในที่สุดก็ถึงซะที ดร.ค่ะ ไฮบาระ โคนันรันยืนตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านดร. แต่ทุกอย่างเงียบ ไม่มีใครออกมา ไม่มีเลย
ไม่อยู่กันหรอกเหรอ ไปไหนนะรันพูด พลางน้ำตาของเธอก็ไหลออกมา เธอนั่งลงที่หน้าบ้านของดร.แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่นึกอายใคร เธอเป็นห่วงโคนันเหลือเกิน เธอเป็นห่วงเค้าคนนั้น

โคนันเดินเข้ามาในโรงงานของพวกชายชุดดำ ว็อดก้าเดินเข้าไปในห้อง ๆ นึง ลูกน้องของเขาเข้าไปด้วย โคนันหามุมที่ไม่มีใครเดินผ่านได้ เค้าฟังพวกมันคุยกันผ่านทางเครื่องดักฟัง
ทำไมถึงเป็นอย่างงี้ล่ะเสียงของว็อดก้า
ฉันซิที่ต้องถามพวกแก ว่าทำไมเป็นอย่างงี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เสียงใครคนนึงที่คุ้นหูโคนันดังขึ้น แต่เขานึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่ามันเป็นเสียงของใคร
หรือว่า จะมีคนทรยศครับเสียงนั้นเป็นของว็อดก้า
ฉันก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างงั้น แต่ใครกันล่ะที่ทรยศ ใครกันเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นอย่างดุดัน
เอ่อ หรือว่าจะเป็นลูกพี่…”
แกสงสัยชั้นเหรอว็อดก้าเสียงของยีนดังขึ้น
เปล่าครับ ผมผมไม่กล้าหรอกครับว็อดก้าแก้ตัวตะกุกตะกัก
แต่เมื่อกี้นี้ฉันได้ยิน…”
หยุดซะทีเสียงที่คุ้นหูโคนันดังขึ้นอีก โคนันกำลังสงสัยว่าเค้าคงเป็นหัวหน้าของพวกชายชุดดำ
แทนที่พวกแกจะมาเถียงกัน ทำไมไม่ลองคิดดูให้ดีว่าใครที่มันทรยศเราเสียงนั้นดังขึ้นอีก
หรือว่าจะเป็นคริส..เสียงว็อดก้าดังขึ้นอีก
ไม่มีทาง คริสคือคนที่ฉันไว้ใจที่สุดเสียงของหัวหน้าใหญ่ดังขึ้นอีก
หรือว่าแก ว็อดก้ายีนพูดขึ้น
โธ่ ลูกพี่อย่าพูดเล่นอย่างนี้ซิฮะ ผมไม่กล้าหรอกว็อดก้าพูดอย่างรวดเร็ว
บางทีอาจจะเป็น…” เสียงหัวหน้าใหญ่ดังขึ้น
ทันใดนั้นโคนันรู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังมองเค้าอยู่ เมื่อโคนันเงยหน้าขึ้นไปก็เจอกับ
อาจารย์โจดี้โคนันพูด
มาแอบฟังอยู่ตรงนี้จะมีอะไรดีขึ้นมาล่ะ คุโด้ ชินอิจิคำทักทายแบบนี้ทำเอาโคนันถึงกับสะดุ้ง
เอาล่ะคุโด้คุง เราเข้าไปข้างในกันดีกว่าว่าพลางก็เอาผ้าเช็ดหน้าที่มียาสลบโปะเข้าใส่โคนันแล้วลากตัวเขาเข้าไปในห้องประชุม
สวัสดีค่ะ หัวหน้า ยีน ว็อดก้าเธอเน้นเสียงหวานที่ชื่อของยีน
คริสทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน
ที่แท้อาจารย์โจดี้ก็คือ คริส วินยาร์ต นักแสดงชื่อดังจากอเมริกานั่นเอง ที่แท้เธอก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกชายชุดดำ
เอาล่ะ ฉันมีของขวัญชิ้นพิเศษมาให้กับทุก ๆ คนเธอพูดด้วยน้ำเสียงเ***้ยมเกรียม แล้วถอยหลังออกไปนิดหน่อยให้ทุกคนได้เห็นโคนัน
โคนันเสียงของหัวหน้าใหญ่ดังขึ้น
ผิดแล้วล่ะค่ะ เด็กคนนี้คือ คุโด้ ชินอิจิตังหากล่ะคะคริสยังพูดต่อไป
เธอจับมันได้ที่ไหนคริสยีนเอ่ยถามขึ้น
ในโรงงานนี่ล่ะ มันสะกดรอยตามว็อดก้ากับแบรคมา” (แบรคคือลูกน้องของว็อดก้าค่ะ)


ว็อดก้า ทำไมนายไม่ระวังยีนเอ่ยขึ้นอีก
ผมขอโทษ หัวหน้าครับ เราจะทำยังไงกับมันดีล่ะครับว็อดก้าเปลี่ยนเรื่อง
เอาไปขังไว้ก่อนเสียงหัวหน้าใหญ่ฟังดูมีแววเ***้ยมเกรียม

เอ๋ พ่อออกไปไหนล่ะเนี่ย สงสัยจะออกไปซื้อเหล้าอีกแล้วล่ะซิรันพูดขึ้นหลังจากขึ้นมาบนบ้านแล้ว
ป่านนี้หมอนั่นจะเป็นไงบ้างนะเธอยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ พลันตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษบนโต๊ะ
พ่อไปเล่นไพ่นกกระจอก ไม่ต้องรอนอนไปก่อนได้เลยเธออ่านเสียงดังแล้วนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวแล้วคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา แต่แววตา ท่าทางครุ่นคิดของเธอต้องสะดุดลงเมื่อมีคนมาเคาะประตูบ้าน เธอลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้าน
พี่หมอรันพูดขึ้นหลังจากเห็นว่าใครที่มาหาเธอ

ที่นี่ที่ไหนกันนะทำไมมันมืดอย่างนี้ล่ะ หรือว่าเราจะตายแล้ว แต่โอ้ย เจ็บที่นา เราคงยังไม่ตายหรอก หรือว่าพวกมันจะจับเรามาขังไว้โคนันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ สติของเขาเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง
จะทำยังไงดี พวกมันต้องฆ่าเราแน่ แล้วแล้วเราก็คงไม่ได้เจอกับเธอคนนั้นอีก คงไม่ได้กลับไปเป็นคุโด้ ชินอิจิอีกเราจะทำยังไงดี หรือว่าเราจะโทรไปหาดร.ดีหรือจะโทรไปหาเจ้าบ้าเฮย์จิ หรือจะโทรไปหาเธอ รัน ฉันจะทำยังไงดีเขาพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง
ไม่ไม่ได้เราจะให้ใครมาเดือดร้อนไปกับเราไม่ได้ แต่แต่ถ้าไอ้พวกนี้มันไม่ถูกจับ พวกมันก็ต้องทำร้ายคนอีกมากมาย แต่ถ้าเราโทรไปหาเฮย์จิล่ะก็ไม่ หมอนั่นอาจจะตกอยู่ในอันตรายถ้าเราโทรไป ฉันจะทำยังไงดีนะ
ชั้นต้องหาทางออกไปจากที่นี่และจับไอ้พวกนั้นให้ได้ด้วยตัวของชั้นเองเค้าพึมพำออกมาอย่างมุ่งมั่น

อะไรนะจริงเหรอได้ได้ฉันจะรีบไปได้อืมรู้แล้วน่าได้รอฉันสักเดี๋ยวล่ะกันเสียงใครบางคนคุยโทรศัพท์อยู่

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน โคนันกำลังนั่งคิดอะไรบางอยู่ อยู่ในที่คุมขังมืดมิดนั่น
ใครกันนะ เสียงนั่น เสียงที่คุ้นหูเหลือเกิน เสียงของใครกันนะ มันเป็นใครกันแน่นะ
เสียงคุ้นหูเหลือเกิน ฉันต้องรู้จักมันแน่ ๆ
แล้วยังจะมีอาจารย์โจดี้อีก เธอเป็นใครกันแน่นะ หรือว่า…”
ต้องใช่แน่ ๆ ผู้หญิงคนนั้น คน ๆ นั้น
คริส วินยาร์ต ต้องเป็นเธอแน่ ๆ มิน่าล่ะ ถึงได้หายไปเลยนับตั้งแต่อาจารย์โจดี้ปรากฎตัวขึ้น
และคน ๆ นั้นก็ต้องเป็น…..เค้าอย่างแน่นอน
แต่ว่าเค้าอย่างนี้ทำไมนะ ทำไมเค้าถึงต้องทำอย่างนี้นะ

แล้วทำไมไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้ล่ะ อยากให้หมอนั่นตายไปก่อนรึไงเสียงของเฮย์จินั่นเอง เค้ากำลังโวยวายใครบางคนอยู่
หมอนั่น หมอไหน ก็นายจะให้ฉันทำยังไงล่ะ ก็ฉันติดต่อนายไม่ได้เลยนี่คาซึฮะเถียงต่ออย่างไม่ลดละ
แล้วเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไงล่ะเฮย์จิถาม
รันโทรมาบอกน่ะสิ ไม่งั้นฉันจะรู้ได้ยังไงกันล่ะ
บ้าจริง ดึกป่านนี้แล้วจะไปหาตั๋วเครื่องบินที่ไหนทัน นี่ขับรถให้มันเร็ว ๆ หน่อยซิว่าพลางก็หันไปเร่งคนขับรถแท็กซี่ที่นั่งอยู่ข้างหน้า คนขับรถหันมาดูเขาทีนึงแต่ก็ไม่อยากจะเถียงด้วย ในที่สุดก็ถึงสนามบิน
ขอโทษนะค่ะ เที่ยวบินสุดท้ายตั๋วหมดแล้วและเครื่องก็จะออกในอีก 20 นาทีนี้แล้วค่ะเสียงพนักงานที่สนามบินพูดกับพวกเฮย์จิ
เห็นม่ะ ไม่มีตั๋วแล้ว ไปพรุ่งนี้ไม่ได้รึไงคาซึฮะถาม
เธอจะบ้าเหรอ รันโทรมาบอกว่าโคนันหายตัวไปเธอยังจะไม่เดือดร้อนอีกเรอะ
ก็แค่หายตัวไปเองนี่นา พ่อรันเป็นนักสืบนะ เดี๋ยวก็หาตัวเจอแล้วล่ะ
เธอไว้ใจตาลุงนั่นงั้นเหรอ เฮ้พี่ชายพูดกับคาซึฮะจบก็หันไปพูดกับผู้ชายอีกคนที่เพิ่งเดินมาอยู่ใกล้ ๆ
พี่ชายจะไปไหนเหรอ
อ้อ พี่กับแฟนจะกลับบ้านที่โตเกียวน่ะ

ทำไมมาช้าจังเลยล่ะ เฮย์จิรันถาม
ก็ยัยนี่น่ะซิพูดพลางก็เหล่ไปที่คาซึฮะ
ก็นายอยากปิดมือถือเองนี่นา
มือถือมันแบตหมดตะหากล่ะ
ดีนะที่ฉันบอกพี่ชายคนนั้นว่าพ่อเจ็บหนักต้องรีบมาน่ะ แล้วก็ดีนะที่พี่ชายคนนั้นใจดีขายตั๋วให้น่ะเฮย์จิยังพึมพำอยู่เอาล่ะรีบไปกันเถอะ ไปช่วยหมอนั่นกัน
_________________
ไปทางไหนต่อน่ะเสียงหนึ่งดังขึ้น
ทางนี้อีกเสียงที่ฟังดูเล็กกว่าตอบกลับมา
เธอแน่ใจนะ ว่าจำทางไม่ผิดน่ะอีกเสียงที่ฟังดูทุ้มที่สุดดังขึ้น
แน่ใจซิ
แล้วเราจะไว้ใจเธออีกได้ยังไงเสียงแรกดังขึ้นอีก
ถ้าไม่ไว้ใจก็ไม่ต้องตามมาเสียงเล็ก ๆ นั้นตอบกลับมาอีกครั้ง
ใกล้จะถึงรึยังล่ะเสียงที่ทุ้มที่สุดเอ่ยขึ้น
อีกนิดนึง นิดเดียวเท่านั้น รอหน่อยนะเสียงเล็ก ๆ ตอบกลับมาอีกครั้ง แต่ประโยคหลังเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่า

เราจะไปทางไหนกันล่ะเฮย์จิถามขึ้น
จากที่ผมสืบมามันน่าจะอยู่ทางนี้นะครับ หรือหมวดว่ายังไงครับพี่หมอของรันหรืออาราอิเดะ โทโมอากิเอ่ยขึ้น
อ้อ ผมไม่ทราบหรอกครับ ก็คุณไม่เคยบอกผมเรื่องตัวจริงของคุณเลยนี่
นั่นซิ นั่นซิ ปิดเรื่องไว้ซะเงียบเลยนะเสียงของหมวดทาคางิกับหมวดซาโต้นั่นเอง
อย่างเพิ่งทะเลาะกันเลยค่ะ เราต้องไปช่วยโคนัน เอ่อ หมอนั่นก่อนนะค่ะรันพูดอย่างร้อนใจ

ในที่สุดก็ออกมาได้ซะทีเสียงใครบางคนพึมพำขึ้นพร้อมกับเสียงหอบเหนื่อยแล้วเขาก็ได้ยินเสียงของใครบางคนข้างล่างพูดกัน
เชอร์รี่ เธอเองเหรอเนี่ย ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ ไปทำภารกิจลับซินะเสียงของคริสนั่นเอง
ใช่ แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยนะ ขนาดฉันอยู่ใกล้คุโด้มากกว่าเธอ ยังโดนเธอแย่งผลงานไปได้ เฮ้อ ความจริงฉันน่าจะจับตัวหมอนั่นมาตั้งแต่แรก ไม่น่าเลยอีกเสียงตอบกลับมา
โคนันที่ฟังอยู่ในช่องแอร์ข้างบนถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินเสียงของไฮบาระดังขึ้น และต้องตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเขาได้รู้ว่าความจริงแล้วไฮบาระปลอมตัวไปเพื่อจะจับเขา
แล้วเธอจัดการกับดร.อะไรนั่นยังไงล่ะ เชอร์รี่คริสถามอีก
ก็ปิดปากเขาไปชั่วนิรันน่ะซิน้ำเสียงฟังดูโหดขึ้นเล็กน้อย
โคนันถึงกับอึ้งหนักเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของไฮบาระ
เอาล่ะ ฉันจะไปแปลงโฉมให้กลับมาเป็นคนเดิมซะหน่อยขอตัวนะ คริสไฮบาระเอ่ยขึ้นแล้วเดินจากไป

ประตูห้องคุมขังของโคนันโดนเปิดออกแต่ข้างในกลับว่างเปล่า ทำให้คนที่มาเปิดถึงกับหน้าเสีย
หายไปไหนแล้วล่ะ หรือว่าจะหนีไปแล้ว บ้าจริง
ประตูห้องปิดลงเหมือนเดิมอีกครั้ง


ไม่อยากจะเชื่อ ไฮบาระ ที่แท้เธอปลอมตัวเข้าไปเพื่อจับฉันเหรอเนี่ยโคนันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อเลย ตอนนี้เค้าออกมานอกโรงงานได้แล้วแต่กว่าจะออกมาได้ก็ช่างยากลำบากเหลือเกิน และตอนนี้ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้วด้วย
ถัดออกไปไม่ไกลนัก มีคนเห็นโคนันเข้าแล้ว
นั่นมัน…” เสียงทุ้ม ๆ ของใครคนนึงดังขึ้น
ใช่จริง ๆ ด้วยอีกเสียงดังขึ้น แล้วทั้งสองก็ออกวิ่ง
สองคนนั้นวิ่งมาทางด้านหลังของโคนัน หนึ่งในสองเอามือปิดปากโคนันเอาไว้ โคนันเริ่มดิ้นแต่แล้ว
พล้อก ! ! !
ชายอีกคนเอาไม้ตีหัวโคนัน ด้วยร่างกายที่อ่อนเพลียอยู่แล้วทำให้โคนันสลบทันที

หนีออกมาได้ยังไงกันนะเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้น
แล้วจะทำยังไงกับมันล่ะเสียงทุ้ม ๆ ดังขึ้น
เดี๋ยวก็คงฟื้นแล้วล่ะอีกเสียงดังขึ้น
(อ่า 3 คนนี้คือ 3 คนเดียวกับที่เคยปรากฎตัวแล้วตอนต้นตอนน่ะค่ะ)
โคนันค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แล้วเขาก็เห็นคนสามคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอ
ดร.อากาสะ ลุง ไฮไฮบาระโคนันพูดขึ้นอย่างตกใจ
ฟื้นแล้วเหรอเสียงทุ้ม ๆ ของดร.อากาสะดังขึ้น
สลบไปตั้งนานเลยนะ คุโด้ไฮบาระพูดขึ้นด้วยเสียงเล็ก ๆ ของเธอ เธอยังตัวเล็กอยู่เลย
หนี หนีเร็วลุง หนีเร็วดร. ไฮบาระ ไฮบาระจะฆ่าพวกเราโคนันพูดแต่โคโกโร่กับดร.อากาสะกลับหัวเราะซะนี่ โคนันหันไปมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างงง ๆ แล้วถามขึ้นว่า
นี่มันอะไรกันแน่น่ะ
แกเป็นนักสืบก็คิดเอาเองซิวะโคโกโร่ว่า

ใกล้จะถึงรึยังค่ะ พี่หมอรันถามด้วยความร้อนใจ
ใกล้แล้วหล่ะ เลี้ยวซ้ายอีกทีนึงก็ถึงแล้ว
ทำไมมันไกลจังล่ะค่ะคาซึฮะถามบ้าง
ทำไม เหนื่อยเหรอเฮย์จิถามกลับ
อือ ก็เดินมาตั้งไกลคาซึฮะตอบ
ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมาเฮจิย์ว่า แต่หมออาราอิเดะทำมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบเมื่อมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงงาน (โรงงานที่พวกโคนันอยู่อ่ะค่ะ)
พวกคุณเรียกกำลังเสริมได้แล้วล่ะ ที่นี่ไม่ผิดแน่หมออาราอิเดะหันมาบอกหมวดทาคางิ

โอ้ย ผมนึกไม่ออก รีบ ๆ บอกมาซะทีซิโคนันโวยวาย
งั้นฟังให้ดีนะดร.อากาสะว่า แล้วเริ่มเล่า
หนูไอน่ะ เค้าได้รับคำสั่งลับให้มาจับตัวนายไป เพราะพวกชายชุดดำรู้สึกสงสัยว่าทำไมอยู่ดี ๆ โมริ โคโกโร่ถึงได้เก่งกาจนัก สุดท้ายพวกมันก็จับได้ว่านายคือคุโด้ ชินอิจิ


แต่องค์กรก็ยังไม่แน่ใจนัก พวกมันก็เลยส่งชั้นมาอยู่กับดร.เพื่อให้สืบความจริงและจับตัวนายกลับมา ฉันไม่รู้ว่าจะมาจับนายได้ยังไงนอกจากจะสร้างภาพขึ้นมาทำเป็นว่าตัวเองหักหลังองค์กร กินยานั่นเหมือนนาย แล้วก็หนีออกมาเพื่ออาศัยอยู่กับดร. ตอนแรกฉันเองก็ไม่อยากเชื่อว่าแผนนี้มันจะได้ผลไฮบาระเล่าบ้าง
อ๋อ เธอคงคิว่าฉันกับดร.โง่ล่ะซินะโคนันพูดอย่างอารมณ์เสีย
เปล่าซะหน่อย ตอนแรกฉันก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันล่ะว่าจะบอกองค์กรว่านายไม่ใช่คุโด้ดีรึเปล่า แต่นึกไม่ถึงองค์กรกลับรู้ซะก่อนว่านายคือคุโด้ ชินอิจิตัวจริง พวกเขาเร่งให้ฉันรีบจับตัวนายกลับมา แต่เพราะฉันรู้สึกว่าเริ่มผูกพันกับกับทุก ๆ คนแล้วฉันเลยยืดเวลาออกไปโดยการส่งข่าวมาบอกองค์กรว่าฉันยังไม่พร้อม แต่นึกไม่ถึงว่านายจะแอบมาที่นี่ซะก่อนไฮบาระตอบคำถามแล้วเล่าต่อ

แย่แล้ว ลูกพี่ เจ้าเปี๊ยกนั่นหายไปแล้วว็อดก้าวิ่งมารายงานยีน
แกว่าอะไรนะว็อดก้ายีนตะคอกถามว็อดก้า
เมื่อกี้นี้ผมกับแบรคจะเอาข้าวไปให้มันแต่พอเข้าไปข้างในมันก็หายไปแล้วว็อดก้าพูดเสียงตะกุกตะกัก
ยีนโมโหมากเขารีบวิ่งไปดูที่ห้องลับใต้ดาดฟ้าซึ่งเป็นที่คุมขังโคนัน ภายในห้องไม่มีใครอยู่จริง ๆ
นายก็กลับไปแล้ว ทีนี้จะทำยังไงล่ะลูกพี่ว็อดก้าถาม

แล้งไงต่อล่ะ เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันมาอยู่ที่นี่โคนันถามต่อ
ตอนที่นายโทรศัพท์มาน่ะ ฉันเป็นคนรับสายเองล่ะ ตอนนั้นนายพูดถึงคน ๆ นึง
อ๋อ นายนานาตะ ซามากิโคนันลืมนายคนนี้ไปแล้วสนิทเลย
ใช่ มันเป็นคนขององค์กรไฮบาระว่า
มันทำอะไรเหรอโคนันถาม
ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าคงเป็นงานใหญ่ ไม่งั้นนายใหญ่คงไม่ยอมให้เข้ามาในนี้ไฮบาระอธิบายต่อ
พอหนูไอเค้าลงมาบอกฉันว่านายอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตรายฉันก็เลยคิดว่าน่าจะไปหาโมริคุงให้มาช่วยๆ กันตามหานายดร.อากาสะเล่าต่อ
ระหว่างทางก็เจอรันกำลังคุยอยู่กับอายูมิ แต่เราไม่อยากให้เธอต้องมาเสี่ยงไปด้วยเลยไม่ได้บอก รีบตรงไปหาคุณโมริทันที คิดว่ายังไงซะก็คงต้องบอกความจริงให้รู้แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่านายคือดุโด้ ชินอิจิไฮบาระเล่าต่อ
ก็ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ฉันไม่โง่สักหน่อยฉันรู้มาตลอดล่ะโคโกโร่เล่าในขณะที่โคนันทำหน้าทึ่งสุด ๆ
พอสองคนนี้มาที่บ้านฉันก็พอจะรู้ล่ะว่าเกิดเรื่องขึ้นกับนาย พวกเราก็เลยออกตามหานาย
เราไปที่ร้านกาแฟแห่งนึงก็เจอกับหมออาราอิเดะ เขาบอกว่าเห็นนายกับอาจารย์โจดี้ตรงมาทางนี้ฉันก็เลยพอจะเดาได้ลาง ๆ ว่านายกำลังถูกสะกดรอยตามไฮบาระเล่าต่อ
ฉันก็เลยเอาแว่นตาสำรองสะกดรอยตามมาอีกต่อนึง แต่ระหว่างทางแบตมันหมดเลยต้องให้หนูไอนำทางต่อจนมาถึงที่นี่ดร.อากาสะเล่า
พอมาถึงนี่เราก็ทำทีเป็นว่าให้หนูไอกลับเข้าไปในองค์กรอีกครั้งเพื่อเอาตัวแกออกมาโคโกโร่เล่า
แต่พอฉันเปิดประตูห้องขังของนายฉันก็แทบเป็นลมเพราะไม่เจอนายไฮบาระเล่าต่อ กำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงดี ดร.ก็ติดต่อมาว่านายอยู่กับเขา ฉันก็เลยหนีออกมา
แล้วทำไมต้องทุบหัวฉันด้วยล่ะโคนันถามอย่างเอาเรื่อง พลางเอามือจับหัวที่ตอนนี้มีผ้าพันแผลพันอยู่
ก็นายดิ้นนี่นาดร.แก้ตัว
"แม้แต่กระจกที่สะท้อนทีอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่อาจสะท้อนตัวตนที่แท้จริงได้"
ตอนจบ : คดีสุดท้ายของโคนัน ตอนที่ 4
นายว่ายังไงบ้างน่ะลูกพี่ว็อดก้าถามหลังจากยีนโทรไปรายงานนายใหญ่เรื่องที่โคนันหายตัวไป
นายไม่รับโทรศัพท์ ฉันกำลังสงสัยว่ามันคงหนีไปทางช่องแอร์ยีนพูด
นั่นน่ะสินะลูกพี่ว็อดก้าเสริม
แย่จริง เอ๊ะ แล้วนี่เชอร์รี่หายไปไหนแล้วล่ะคริสถาม
เห็นว่าจะไปพักน่ะยีนตอบ
แต่เมื่อกี้นี้ ฉันไปดูที่ห้องของเธอมา ไม่เห็นมีใครเลยนี่คริสยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
หรือว่า…” ยีนพูดแล้วทิ้งท้ายเอาไว้

ทาคางิ ซาโต้ ทำอะไรทำไมไม่บอกฉันซักคำฮ่ะ คุณก็เหมือนกันหมออาราอิเดะ คุณเป็นหมอนะ นึกว่าตัวเองเป็นสายลับรึไง ทำอะไรไม่บอกผมสักคำสารวัตรเมงูเระเอ่ยขึ้น เขามาถึงหน้าโรงงานพร้อมกับกำลังเสริม
ขอโทษนะค่ะ สารวัตรหมวดซาโต้เอ่ยเสียงหวาน
สารวัตรครับผมว่าเราควรจะกระจายกำลังออกเป็นสี่ส่วนนะครับเฮย์จิที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น
ใช่ค่ะ ส่วนแรกเข้าทางหน้า ส่วนที่สองเข้าทางหลังคาซึฮะพูด
ส่วนที่สามทางซ้าย ส่วนที่สี่ด้านขวา แค่นี้เราก็ล้อมพวกมันไว้ทุกด้านแล้วล่ะค่ะรันพูดบ้าง
ฉันรู้หรอกน่า ฉันเป็นสารวัตรนะไม่ต้องให้เด็กอย่างพวกเธอมาสอนหรอกสารวัตรเมงูเระพูดขึ้นจากนั้นเขาก็สั่งแบ่งกระจายกำลังออกเป็นสี่ส่วน

ทำไมพวกเราไม่ไปเข้าด้านหน้าล่ะเฮย์จิ มาด้านซ้ายทำไม มีแต่ต้นไม้ทั้งนั้นเลยคาซึฮะเริ่มบ่นเพราะเฮย์จิ
บอกให้มาทางด้านซ้าย
เอาเถอะน่า เอะ นั่นรอยเลือดนี่เฮย์จิหันไปเห็นรอยเลือดของโคนันที่เกิดจากการโดนทุบหัวเข้าเข้า เขาเอานิ้วไปจับแล้วพูดขึ้นว่า
แห้งแล้ว คงจะมีมาประมาณ 2 ชั่วโมงขึ้นไปแล้ว
เลือดใครกันนะ หวังว่าคงจะไม่ใช่ของ…” รันพูดแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
ไม่ใช่หรอกน่ารัน ทำใจให้สบายเถอะคาซึฮะปลอบ
เฮย์จิ ตรงนั้นมีบ้านร้างล่ะหมออาราอิเดะพูด
เราไปดูกันเถอะ หมวดทาคางิ คุณพากองกำลังบุกเข้าไปก่อนนะฮะ แล้วเดี๋ยวพวกผมตามไปเฮย์จิสั่งแล้วเรียกรันกับคาซึฮะแยกไปอีกทาง

ว่าไงทาคางิ นี่มันโรงงานร้างชัด ๆ พวกเธอกลับบอกว่านี่เป็นองค์กรอะไรไม่รู้บ้าบอสารวัตรพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ก็หมออาราอิเดะเค้าบอกว่าที่นี่มัน…” ทาคางิเถียง
เค้าเป็นหมอนะ ส่วนนายน่ะเป็นตำรวจ ทำไมต้องเชื่อเขาด้วยล่ะเมงูเระเริ่มระเบิดอารมณ์
ก็เค้าเป็น…”
ทาคางิคุงทาคางิพูดยังไม่ทันจบซาโต้ก็เรียกชื่อเขาเสียงดัง
เป็นอะไรสารวัตรถาม
เป็นเป็นคนที่น่าเชื่อถือนี่ครับทาคางิตอบ แต่คำตอบนี้ทำเอาเขาถึงกับโดนด่ายกใหญ่
งั้นเรารออยู่นี่ก่อน ดูซิว่าคุณหมอผู้น่าเชื่อถือจะว่ายังไงสารวัตรเริ่มโมโหสุดขีด

คุโด้เสียงเรียกจากเฮย์จิทำให้โคนัน ไฮบาระ ดร.อากาสะและโคโกโร่หันไปดู
พวกนายรัน เธอมาที่นี่ได้ยังไงโคนันถาม
พวกฉันไม่บื้อนิ่เฮย์จิตอบ
เรื่องมันยาวน่ะ เอาไว้ค่อยเล่าก็แล้วกัน เข้าไปในนั้นก่อนเถอะหมออาราอิเดะพูดพลางชี้นิ้วไปที่โรงงาน

ไม่มีทาง ในนี้มีคนอยู่แน่ ๆ ทำไมกลายเป็นแบบนี้ล่ะไฮบาระโวยวายเมื่อเข้ามาในโรงงานซึ่งขณะนี้ไม่มีใครเลยนอกจากพวกเขากับตำรวจกำลังเสริม
ในขณะที่สารวัตรเถียงอยู่กับคนอื่น ๆ โคนันก็เดินสำรวจไปทั่ว แต่เสียงของทุกคนทำให้สมาธิเขาแตกกระจายจนกระทั่ง
เงียบ ๆ กันหน่อยไม่ได้รึไงโคนัน เฮย์จิและโคโกโร่ตะหวาดขึ้นพร้อมกัน พวกเขาสามนักสืบใหญ่กำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะมีทางหนีทางอื่นหรือไม่ ทุกคนในที่นั้นเงียบลงทันที
วิ้ว วิ้ว

เสียงลมพัดโคโกโร่พูดขึ้น
แต่ในนี้ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีทางไหนที่ลมจะพัดได้เลย นอกจาก…” เฮย์จิพูด
ห้องใต้ดินโคนัน โคโกโร่ เฮย์จิพูดพร้อมกันอีกครั้ง
โคนันเดินไปเรื่อย ๆ ก็เห็นผนังที่นึงนูนขึ้นมาเขาจึงเอามือกดลงไป ทันใดนั้นผนังตรงนั้นก็ยุบตัวลงไปช้า ๆ ทันใดนั้นที่พื้นซึ่งเป็นปูนก็กำลังส่งเสียงดังเหมือนจะแยกจากกัน
ครืน ครืน

ทันใดนั้นพื้นที่บริเวณกลางโรงงานก็แปลสภาพเปลี่ยนจากพื้นปูนกลายเป็นพื้นไม้ บนไม้มีปุ่มตัวอักษรอยู่เต็มไปหมด
คงต้องใช้รหัสโคโกโร่กล่าวขึ้น
รหัสอะไรล่ะเฮย์จิพูดขึ้น
อาจจะเป็นชื่อขององค์กร ไฮบาระ องค์กรเธอชื่ออะไรโคโกโร่ถาม
ฉันไม่เคยรู้หรอกว่าองค์กรชื่ออะไรไฮบาระตอบ เป็นคำตอบที่ทำเอาสามนักสืบแทบอยากจะร้องไห้
บางทีอาจจะเป็นคำว่า dead devil ก็ได้นะโคนันพูดขึ้น เฮย์จิลองกดดู พื้นเริ่มสั่นอีกครั้งแล้วก็แยกออกเป็นสองทางมีบันไดให้ลงไปข้างล่าง
เฮ้ นายรู้ได้ไงน่ะคุโด้เฮย์จิถาม
แล้วฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง

หยุดทำไมล่ะยีน เดี๋ยวพวกมันก็ตามมาทันพอดีคริสถาม
ไม่หรอก พวกมันไม่รู้หรอกยีนว่า
แต่เชอร์รี่อาจจะพาพวกนั้นมาว็อดก้าพูดบ้าง

ไม่มีใครรู้เรื่องห้องใต้ดินนี่ นายไม่เคยบอกใครนอกจากฉัน และถึงจะรู้ว่ามีห้องนี่แต่ก็ไม่มีทางรู้รหัสหรอกยีนพูด
นายสร้างห้องนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคริสถาม
นายไม่ได้สร้างเองหรอก นายจ้างนายนานาตะมาสร้าง เมื่อปีที่แล้วแต่เพิ่งจะเสร็จเมื่อไม่กี่เดือนนี้เองยีนอธิบาย
มิน่า นายไม่ให้มานี่เลย ตั้งแต่ปีก่อนว็อดก้าพูดขึ้น
หยุดนะ พวกนายหนีไปไหนไม่รอดแล้วล่ะเสียงของเฮย์จิดังขึ้นพวกเขาไล่มาทันแล้ว
แย่แล้วยีน เราจะทำยังไงต่อล่ะคริสถาม
เธอกับว็อดก้า แล้วก็คนอื่น ๆ ต้องโดนจับน่ะสิยีนตอบ
อะไรนะคริสถาม

เห็นมั้ยล่ะค่ะ สารวัตรที่นี่มีคนอยู่จริง ๆ ด้วย…” ซาโต้พูดขึ้นแต่ก็ต้องชะงักไปเพราะเมงูเระไม่ได้อยู่ตรงนั้น
เอ๋ สารวัตรหายไปไหนนะ คุณรันเห็นบ้างไหมค่ะซาโต้ถาม
ไม่เห็นเลยล่ะค่ะ โคนัน ก็หายไปเหมือนกันค่ะรันตอบ
คุณซาโต้ครับ เดี๋ยวผมจะพาผู้ต้องหากลับสน.ก่อนนะครับทาคางิมารายงาน ผู้ต้องหาของเขาก็คือ คริส ยีน ว็อดก้า และสมาชิกขององค์กรอีกหลายคน

จะหนีไปไหนเหรอครับคุณ dead devil หรือจะให้ผมเรียกว่าสารวัตรเมงูเระเหมือนเดิมล่ะฮะโคนันเอ่ยขึ้น ทำให้คนข้างหน้าหยุดกึก
เธอพูดอะไรน่ะโคนัน ฉันแค่จะมาเดินสำรวจรอบ ๆ ซะหน่อยก็เท่านั้นเมงูเระแก้ตัว
หยุดเถอะครับ สารวัตรผมจำเสียงคุณได้นะครับโคนันพูดต่อ
ถ้าเธอจะพูดอย่างงั้นล่ะก็ ฉันก็คงต้องขอถามเธอซะหน่อยล่ะว่า เธอมีหลักฐานอะไรหรือเปล่าเมงูเระพูด



"แม้แต่กระจกที่สะท้อนทีอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่อาจสะท้อนตัวตนที่แท้จริงได้"
ตอนจบ : คดีสุดท้ายของโคนัน
ผมไม่มีหลักฐานหรอกครับ แต่ถ้าให้พวกนั้นชี้ตัวล่ะก็ ยังไงสารวัตรก็คงหนีไม่รอด มอบตัวเถอะนะครับโคนันพูดต่อ
ไม่ได้หรอกนะเมงูเระพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าพร้อมกับหยิบปืนขึ้นมา
ชินอิจิคุง ฉันไม่อยากทำอย่างงี้เลย ไม่อยากให้เธอต้องตายด้วยน้ำมือของฉันเลยเมงูเระพูดต่อ
ถ้าจะกรุณาผมล่ะก็ ช่วยบอกหน่อยเถอะครับว่าทำไมคุณถึงต้องทำแบบนี้ คุณสร้างองค์กรนี่ทำไมกันโคนันถาม
เพราะว่าฉันอยากได้เธอคืนมาน่ะสิ เธอคนนั้น คนที่ฉันเฝ้ารอมาแสนนานเมงูเระพูด
ใครกันครับโคนันถามต่อ
ลูกสาวของฉัน เมื่อหลายปีก่อน...ก่อนที่เธอจะเกิดซะอีก ตอนนั้นมิโดริ (ภรรยาสารวัตรค่ะ) เธอคลอดลูกสาวคนแรกของฉันแต่...แต่หลังจากคลอดได้ไม่กี่วันลูกสาวฉันก็ตาย ฉันเสียใจมาก ฉันอยากจะชุบชีวิตลูกสาวฉันขึ้นมา ฉันก็เลยแอบสร้างองค์กรนี้ขึ้นมาเงียบ ๆเมงูเระอธิบาย
แล้วทำไมถึงต้องฆ่าคนมากมายด้วยล่ะครับโคนันถามต่อ
เอามาทดลองยาน่ะสิ คนพวกนั้นอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ เอามาลองยาซะยังจะดีกว่าเมงูเระอธิบาย คำอธิบายนั้นทำเอาโคนันถึงกับเสียวสันหลัง
เอาละ ถึงเวลาของเธอแล้วชินอิจิคุงเมงูเระพูดขึ้น
โคนันหลับตาสนิท เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นคนที่เขาไว้ใจมากคนนึง ไม่เคยคิดเลยว่าเพื่อนของพ่อจะมาฆ่าเขา
ปัง

เสียงปืนดังขึ้นแล้ว แต่โคนันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองไม่เป็นอะไรเลย เมื่อเขาลืมตาขึ้นภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา
หมออาราอิเดะกับเฮย์จิแล้วก็โคโกโร่กำลังจับตัวสารวัตรอยู่ ตรงหน้าเขามีร่าง ๆ หนึ่งนอนจมกองเลือด เธอถูกยิง
ไฮบาระโคนันตะโกน
ทำไมเธอทำอย่างงี้ล่ะพูดพลางก็คุกเข่าลงข้าง ๆ ร่างของเด็กสาวที่มีลมหายใจอ่อนระรวย ช้อนศีรษะเธอมาไว้บนตัก
ฉันอยากจะไถ่บาปทั้งหมดที่ฉันทำไปน่ะสิ แล้วอีกอย่างเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือฉันรักนายคำตอบนั้นแผ่วเบาแต่จับจิตจับใจคนฟังเหลือเกิน
เธออย่าเพิ่งพูด….” โคนันพูดยังไม่ทันจบ ไฮบาระก็ยกมือขึ้นปิดปากเขา มืออีกข้างของเธอล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
นี่คือยา CX 800 T มันจะทำให้นายกลับไปเป็นคุโด้ ชินอิจิเหมือนเดิมไฮบาระพูดเสียงแผ่วเบากว่าเดิม
ทำไมเธอไม่กินล่ะโคนันถาม
มันมีอยู่เม็ดเดียว แล้วฉันก็กำลังจะตาย นายเอาไปเถอะโคนันรับยามาจากไฮบาระ ทันใดนั้นร่างกายของเด็กสาวก็หยุดการทำงาน เธอตายซะแล้ว
ไฮบาระโคนันตะโกนออกมาอีกครั้ง

สำนักงานนักสืบโมริ
ทำไมเธอไม่พูดกับคุโด้คุงล่ะ รัน ตอนนี้เขาก็กลับมาเป็นคนเดิมแล้วนี่นาคาซึฮะถาม แต่ไม่มีคำตอบจากปากรัน
อ้าว เฮย์จิ คุโด้ มากันแล้วเหรอคาซึฮะยังพูดต่อ
เล่าให้ฟังบ้างซิ ผลการสอบปากคำน่ะคาซึฮะยังถามต่ออย่างสงสัย ชินอิจิเหลือบตาไปดูหน้ารันแวบนึง ตั้งแต่กลับมาจากโรงงานจนถึงวันนี้ก็สิบวันแล้ว แต่รันยังไม่พูดกับเขาเลย
ก็ไม่มีอะไรนี่ พวกนั้นก็รับสารภาพ สารวัตรก็โดนจับ ส่วนยีนก็…” เฮย์จิพูดไม่ทันจบชินอิจิก็สวนขึ้นว่า
พวกนายเล่ามาก่อนเถอะว่าตามฉันไปที่โรงงานได้ยังไงชินอิจิถามบ้าง
อ๋อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ…” คาซึฮะพูดแล้วหันไปมองหน้ารัน
ผมเล่าเองก็แล้วกันครับหมออาราอิเดะพูด เขาเดินเข้ามาพร้อมกับใครคนนึงที่ทำเอาคาซึฮะกับรันตะลึง
ยีนรันกับคาซึฮะพูดพร้อมกัน
ไม่ใช่หรอกครับ ชื่อจริง ๆ ของเขาคือ อากาอิ ชูอิจิ เค้าเป็นเหมือนกับผมหมออาราอิเดะอธิบายแล้วก็เล่าว่า
คือความจริงแล้วผมเป็น FBI น่ะครับ เขาก็ด้วยพูดแล้วก็ชี้ไปที่ยีนเค้าปลอมตัวเข้าไปสืบเรื่ององค์กรน่ะครับ เพราะทาง FBI สืบได้ว่าที่ญี่ปุ่นมีองค์กรลึกลับที่จัดตั้งขึ้นเพื่อฆ่าและชุบชีวิตคนน่ะครับพูดจบแล้วก็หันมาทางชินอิจิ
สำหรับเรื่องที่ตามไปที่โรงงาน คือ ตอนนั้นผมอยู่ที่ร้านกาแฟนั้นพอดี เห็นคุณโดนอาจารย์โจดี้ เอ๊ย คริส เขาสะกดรอยตามคุณอยู่ กำลังจะตามไปก็พอดีเจอกับพวกคุณโมริ พอบอกทางพวกเค้าเสร็จผมก็รีบมาหาคุณรันทันที….อย่างที่บอกแหละครับ ชูอิจิปลอมตัวเป็นยีนแฝงตัวอยู่ในองค์กร พอเขารู้ว่าตัวจริงของโคนันคือใครผมก็เลยได้รู้ด้วยว่าโคนันก็คือคุโด้ ชินอิจิผมก็เลยคิดว่าน่าจะมาบอกรัน แต่นึกไม่ถึงว่าเธอจะรู้อยู่แล้วอาราอิเดะเล่าถึงตรงนี้รันก็ลุกขึ้นเดินออกไป แต่ชินอิจิยังไม่สนใจเขาขอให้หมออาราอิเดะเล่าต่อ
จากนั้นรันก็โทรไปหาคุณคาซึฮะ จากนั้นคุณคาซึฮะกับเฮจิย์ก็มา เราจึงตัดสินใจโทรหาหมวดซาโต้กับหมวดทาคางิ จากนั้นผมก็ทำทางทุกคนไปที่โรงงานตามทางที่ชูอิจิเคยบอกเอาไว้อาราอิเดะเล่าต่อ
เดี๋ยวนะครับ ถ้าอย่างงั้นก็แสดงว่าคุณรู้แล้วน่ะซิว่าสารวัตรเป็นหัวหน้าแก๊งค์ ไม่งั้นคุณคงโทรไปหาเขาชินอิจิถาม
ไม่รู้หรอกครับ เราแค่สงสัยเท่านั้นล่ะครับ
เพราะผมไม่ดีเอง ผมไม่แน่ใจว่าเขาเป็นสารวัตรหรือว่ารองสารวัตรยีนหรือชูอิจิที่นิ่งอยู่นานเอ่ยขึ้น
แล้วไฮบาระ รู้รึเปล่าว่าใครเป็นหัวหน้าแก๊งค์เฮย์จิถามต่อ
ไม่รู้หรอก เธอทำงานอยู่แต่ในห้องแลปพอพูดถึงไฮบาระ ชินอิจิสังเกตเห็นว่าชูอิจิมีน้ำตาเอ่อขึ้นมานิด ๆ เขาคิดว่าชูอิจิคงจะชอบไฮบาระ เลยเปลี่ยนเรื่องพูด
นายนานาตะคือใครกันแน่ชินอิจิถาม
มันเป็นโจรปล้นธนาคารเมื่อหลายปีก่อนชื่อจริง ๆ ของมันก็คือ คาโน ไซโซ คนที่ใคร ๆ ก็คิดว่าตายไปแล้ว มันมีความสามารถเรื่องกลไกมาก นายเมงูเระเลยจ้างมาสร้างห้องใต้ดินชูอิจิอธิบาย
แล้วเรื่องคนทรยศขององค์กรล่ะครับชินอิจิถามเรื่องที่เขาได้ยินที่โรงงาน
ฉันปล่อยข่าวนี้ออกไปเองแหละ ที่จริงไม่มีคนทรยศหรอก ฉันแค่อยากให้พวกมันระแวงกันเองชูอิจิอธิบายอีก
แล้วทำถึงลงไปอยู่ห้องใต้ดินกันล่ะเฮย์จิถามบ้าง
เพราะฉันคิดว่าเชอร์รี่คงจะทรยศองค์กรเข้าแล้วจริง ๆ และคิดว่าเธออาจจะพาตำรวจมาที่นี่ ฉันเลยคิดว่าถ้าอยู่ข้างบนล่ะก็อาจมีใครในองค์กรหนีออกไปได้ ฉันเลยหลอกต้อนทุกคนลงไปในห้องใต้ดินชูอิจิเล่าอีกแล้วย้อนถามว่า
คุณรู้รหัสผ่านห้องใต้ดินได้ยังไง
พ่อผมเคยบอกว่าเมื่อก่อนสารวัตรชอบพูดคำนี้บ่อย ๆ น่ะครับชินอิจิอธิบาย

เมื่อหมดเรื่องที่สงสัยแล้วชินอิจิก็ขอตัวมาง้อรัน

รัน ที่แท้เธอก็รู้อยู่แล้วว่าฉันคือ…” ชินอิจิพูด
ฉันไม่โง่นี่….แต่ที่ฉันไม่พูดก็เพราะว่าฉันฉันรออยู่รอให้นายบอกความจริงทั้งหมดจากปากนายแต่….แต่นายก็ไม่เคยพูดเลยไม่เคยเลยรันพูดพลางเอามือป้ายน้ำตาที่กำลังไหลอยู่
รันเธอรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ชินอิจิถาม
มันไม่สำคัญหรอก มันสำคัญตรงที่ทำไมนายไม่ยอมบอกฉันตะหากล่ะพูดพลางน้ำตาก็ไหลออกมาอีกคราวนี้เธอไม่สนใจจะเช็ดมันแล้ว
ก็เพราะว่าฉันกลัวนะสิ กลัวว่าเธอกับใครต่อใครจะตกอยู่ในอันตรายฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเธอเลยนะรันฉันฉันฉันรักเธอนะรันในที่สุดชินอิจิก็พูดคำว่ารักออกมาจนได้ ทำเอารันถึงกับหน้าแดง
จริงเหรอคนหน้าแดงถามขึ้น
จริงซิแล้วเธอล่ะ รักฉันบ้างรึเปล่าชินอิจิถามบ้าง
อือรันตอบแค่นี้แต่ก็ทำเอาชินอิจิหน้าแดงไปเลยเหมือนกัน

รันพ่อมีข่าวดีมาบอกโคโกโร่พูดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง
อะไรค่ะพ่อรันถาม
พ่อกับแม่ดีกันแล้วนะโคโกโร่บอก หน้าของเขาเป็นสีแดงหน่อย ๆ
จริงเหรอค่ะรันถาม โคโกโร่พยักหน้าช้า ๆ ทันใดนั้นเอริแม่ของรันก็หอบกระเป๋าใบใหญ่เข้ามาในบ้าน

เร็ว ๆ เข้าซิยัยคาซึฮะเฮย์จิเร่ง
จะรีบอะไรนักหนานะคาซึฮะว่าพลางถลึงตาใส่เฮย์จิ
เฮ้ เฮย์จิทำไมช้าจังชินอิจิถามเขาเดินเข้ามาพร้อมกับรัน
ก็ยัยคาซึฮะน่ะสิ มัวแต่เลือกดอกไม้อยู่นั่นล่ะ
อ้าว ก็วันนี้เป็นวันแต่งงานของหมวดซาโต้กับหมวดทาคางินิ ฉันก็ต้องเลือกดอกไม้สวย ๆ หน่อยล่ะ แต่ว่าวันนี้มีแขกมาเยอะจังเลยนะคาซึฮะพูดพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้าน
ก็หมวดซาโต้น่ะ เขารู้จักคนเยอะเสียงอธิบายเป็นของโซโนโกะที่เดินเข้ามาพร้อมกับเคียวโกขุ
ขนาดพ่อกับแม่หมอนี่ยังมาเลยรันพูดแล้วชี้ไปที่ชินอิจิ
สองคนนั่นน่ะ เขาจะกลับมาอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้วล่ะชินอิจิบอก
จริงเหรอ ดีจังนะรันว่า
เอาล่ะ ฉันว่าเราไปอวยพรสองหมวดกันดีกว่านะคาซึฮะพูด แล้วทั้งหกคนก็เดินเข้าไปอวยพรหมวดซาโต้กับหมวดทาคางิ
_________________
สรุป

โคนันคืนร่างเดิม  
เมงุเระเป็นหัวหน้าชายชุดดำเพื่อต้องการช่วยลูก
ไฮบาระตาย  
ยีนเป็น FBI